ในปัจจุบัน มีเกมมากมายหลายประเภทที่คุณสามารถเข้าถึง และเล่นได้ไม่จำกัดเพศและวัย ซึ่งส่วนใหญ่ มักมาพร้อมระดับความยากที่สามารถปรับแต่งได้ โดยทั่วไปแล้ว ผู้เล่นสายแคชชวล (Casual) ก็มักเลือกที่จะเล่นเกมโหมดง่าย หรือโหมดปกติ เพื่อเรียนรู้ตัวเกม หรือเสพเนื้อเรื่องกันแบบสบาย ๆ แต่ถ้าคุณรู้สึกว่ามันง่ายไปล่ะ ? หรือบางทีถ้าคุณรู้สึกว่าเกมมันจบเร็วไป น่าจะมีอะไรที่สนุกกว่านี้ บางที Hard Mode อาจเป็นคำตอบสำหรับคุณค่ะ ลองไปดูกันว่า เรามีเหตุผลอะไรที่คุณควรจะเปลี่ยนไปเล่นโหมดยากกันบ้าง
ข้อมูลเพิ่มเติม : ระดับความยากของเกม (Game Difficulty Level) คืออะไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ?
การเล่นเกมในโหมดที่มีความยากมากขึ้น อาจทำให้เกิดความรู้สึกผิดหวังกับตัวเองที่ไม่สามารถผ่านด่านได้ หรือปลดล็อกความสำเร็จได้ แต่ก็เป็นการกระตุ้นให้เกิดความเข้มแข็งขึ้น และทำให้เกิดความพึงพอใจมากยิ่งขึ้นถ้าหากคุณสามารถผ่านความยากลำบากเหล่านั้นมาได้ ดังนั้น ถ้าคุณมองดูแล้วว่าได้ประโยชน์จากการเล่นเกมมากขึ้นเมื่อมีความท้าทายมากขึ้น โหมดยาก ควรเป็นการตั้งค่าความระดับเริ่มต้นสำหรับคุณ
เครดิตภาพ : https://www.androidcentral.com/last-us-part-2-how-adjust-difficulty-settings
บางครั้ง เมื่อคุณเริ่มเล่นในโหมดปกติ คุณอาจสังเกตได้ว่า เกมที่กำลังเล่นอยู่มันออกจะง่ายไปหน่อย ซึ่งบางครั้งก็มีหลายเหตุผลอยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้เหมือนกัน เช่น บางทีผู้พัฒนาอาจจะจงใจให้มันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะทักษะการเล่นเกมของคุณเพิ่มขึ้นแล้ว หรือไม่ก็ คุณอาจเป็นผู้เล่นมาจากยุคที่เกมมันยากกว่านี้มาก่อน
ถ้าคุณเล่น Yie Ar Kung-fu ผ่านได้ เกม Action ในปัจจุบันก็ไม่ใช่ปัญหาของคุณแล้ว
เครดิตภาพ : https://www.youtube.com/watch?v=TTrtUrYsd8U
ถือเป็นเรื่องดีที่เกมส่วนใหญ่ในปัจจุบัน อนุญาตให้คุณสามารถเปลี่ยนระดับความยากได้ตลอดเวลา เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องไปเล่นใหม่ตั้งแต่แรกเริ่ม หลังจากที่คุณผ่านความยากทรหดมาแล้วหลายชั่วโมง ก็สามารถพักไปเล่นแบบงที่ง่ายลงได้โดยไม่ต้องไปเริ่มเล่นใหม่แต่แรก หรือโยกเซฟไปเล่นอีกเซฟที่เป็นโหมดง่าย
ส่วนใหญ่แล้ว การที่เกมง่าย การต่อสู้มักจะไม่ยาวนานเท่าไหร่นัก เพราะฝีมือคู่ต่อสู้ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ต้องท้าทายความสามารถผู้เล่นอะไรขนาดนั้น และมักจะมีหน้าที่เพียงแค่เป็นเสมือนจุดเช็คพอยท์ให้คุณรู้ว่าตัวละครของตัวเองดำเนินมาถึงจุดไหนของตัวเกมแล้วโดยประมาณ ทำให้มักจะจบลงแค่ว่า ใส่ ๆ สกิลหรือยิง ๆ ไป ไม่ต้องคิดอะไรมากก็สามารถผ่านไปได้แล้ว ซึ่งด้วยความง่ายแบบนี้ ทำให้ระดับการมีส่วนร่วมกับเกมนั้นติดลบไปด้วย
ดังนั้น ถ้าหากคุณคิดว่า คุณเป็นคนที่ใส่ใจกับกระสุนทุกนัดที่ยิงออกไป หรือดาบที่ตวัดออกไปในแต่ละครั้ง อีกทั้งสามารถจัดการไอเท็มในคลังให้มีไอเท็มจำเป็นสำรองไว้ในกระเป๋าหรือในคลังอยู่ตลอดเวลาได้ พร้อมมีมาตรการวางแผนในการทำให้พวกมันเกิดประโยชน์สูงสุดในการเล่นแล้วล่ะก็ คุณสามารถปรับตัวเองให้ไปอยู่กับโหมดยากได้อย่างแน่นอน
เครดิตภาพ : https://guides.gamepressure.com/resident-evil-village/guide.asp?ID=58965
ในกรณีที่เป็น เกม Puzzle หรือ เกมปริศนา ถ้าคุณรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอาศัยคำใบ้อะไร ลำพังแค่สมองและการสังเกตของคุณเพียว ๆ ก็สามารถแก้ปริศนาได้แล้ว ก็ถึงเวลาของการเปลี่ยนไปเล่นโหมดยากแล้วเช่นกัน
ในเกมบางเกมมีการปลดล็อกความสำเร็จหรือถ้วยรางวัล ที่จะมีให้เฉพาะกับความยากที่มีระดับสูงขึ้นกว่าปกติด้วย เช่น เก็บ Headshot ให้ได้ครบ 100 ครั้งในโหมดยาก หรือบางครั้งเงื่อนไขก็ง่าย ๆ แค่เล่นเกมให้จบในโหมดยากก็พอ เป็นต้น ซึ่งบางครั้ง ความสำเร็จบางอันก็ไม่ได้น่าสะสมอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าคุณต้องการให้ความสำเร็จเต็ม 100% แล้วล่ะก็ ยังไงก็ต้องมาตามเก็บอยู่ดีแหละนะ
เครดิตภาพ : https://www.makeuseof.com/why-hard-mode-should-be-default-difficulty-setting/
เหตุผลข้อนี้ ถือเป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่หลายคนไม่ควรมองข้าม เพราะบางที บางเกม ไม่ได้มีเนื้อหาหรือเนื้อเรื่องอะไรให้ต้องติดตามมากมาย ดังนั้น การตั้งค่าระดับความยากให้เป็นโหมดยาก ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่สามารถยืดอายุและตอนจบของเกมออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกม RPG ที่คุณจะต้องทำการฟาร์มของฟาร์มเวลนานขึ้น เพื่อให้สามารถผ่านเควสท์ไปได้ หรือไม่ ก็ต้องมีปาร์ตี้ที่แข็งแกร่งพอเพื่อที่จะสามารถผ่านบอสได้ เป็นต้น
เครดิตภาพ : https://www.ign.com/wikis/diablo-3/Difficulty
|
เกมเมอร์หญิงทาสแมว ถ้าอยู่กับแมวแล้วจะน้วยแมวทั้งวัน |