รู้หรือไม่ว่า ? ในสมาร์ทโฟนทุกเครื่องที่เราใช้งานจะมีสิ่งที่เรียกว่าเลข IMEI อยู่ ซึ่งอันที่จริง เจ้าเลข IMEI นี้ก็เป็นสิ่งที่ใช้กันมาตั้งแต่ยุคโทรศัพท์มือถือยังเป็นจอขาวดำอยู่เลย ในสมัยนี้มันอาจจะไม่ถูกพูดถึงสักเท่าไหร่ หลายคนไม่รู้จักเลข IMEI ด้วยซ้ำ แต่อันที่จริง เลข IMEI ก็มีประโยชน์ของมันอยู่นะ
ในบทความนี้ เราจะมาอธิบายเกี่ยวกับ IMEI ให้เข้าใจถึงหน้าที่ และประโยชน์ของมันกันเลย
IMEI (อีมี่) นั้นย่อมาจากคำว่า "International Mobile Equipment Identity" มันเป็นตัวเลขที่เป็นหมายเลขเฉพาะสำหรับใช้ระบุตัวตนของอุปกรณ์ เหมือนกับเป็นเลขประจำตัวประชาชน ซึ่งผู้ให้บริการสามารถใช้เลข IMEI ในการตรวจสอบได้ว่าอุปกรณ์ที่อยู่บนเครือข่าย GSM (บนเครือข่าย CDMA จะเรียกว่า MEID (Mobile Equipment Identifier)) เป็นอุปกรณ์ตัวไหน (อย่าสับสนกับ SIM Card นะ อันนั้น ใช้ระบุเบอร์โทรศัพท์บนเครือข่าย)
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) เป็นต้นมา รูปแบบของ IMEI ส่วนใหญ่แล้ว จะประกอบด้วยตัวเลข 15 หลัก ที่สามารถแบ่งได้ออกเป็น 5 ส่วน ดังนี้ "AA-BBBBBB-CCCCCC-D"
วิธีดูเลข IMEI ของโทรศัพท์นั้นสามารถทำได้หลายวิธี โดยส่วนใหญ่แล้ว จะมีระบุเอาไว้บนตัวกล่อง และบนตัวเครื่อง โดยอาจจะสกรีนเอาไว้ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง หรือบนถาดซิม
แต่ถ้าทิ้งกล่องไปแล้ว หรือไม่สะดวกในการที่จะถอดถาดซิมออกมาดู ก็สามารถดูผ่านซอฟต์แวร์ของสมาร์ทโฟนได้เช่นกัน โดยใน iPhone และ Android (ส่วนใหญ่) ข้อมูลเลข IMEI ก็จะอยู่ในหน้า About
อีกวิธีก็คือการเปิดแอปโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดรหัส "*#06#" เลข IMEI ก็จะแสดงผลขึ้นมาทั้งที สามารถทำได้ทั้งใน iOS และ Android เลย
อย่างที่เราได้อธิบายไปแล้วว่า เลข IMEI นั้นเป็นเหมือนเลขประจำตัวประชาชน ที่ใช้ในการยืนยันตัวตนของอุปกรณ์ดังกล่าว ซึ่งการแก้ไขเลข IMEI นั้น ทำได้ค่อนข้างยาก ทำให้มันถูกใช้เป็นใบรับรองตัวตนของอุปกรณ์ได้ในหลายสถานการณ์ เช่น
ปัจจุบันนี้ มีเทคโนโลยีตรวจสอบตัวตนของอุปกรณ์ อย่าง iCloud และ Find my ทำให้การใช้งาน IMEI ไม่เกิดขึ้นบ่อยเหมือนสมัยก่อน แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีประโยชน์อยู่นะ หากไม่เก็บกล่องสินค้าเอาไว้ ก็ควรจะจดเลข IMEI หรือถ่ายรูปกล่องเก็บไว้ก่อนที่จะทิ้งกล่องไป เผื่อในอนาคตทำหาย หรือถูกขโมย จะได้มีหลักฐานไปยืนยันความเป็นเจ้าของได้
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |