ในการใช้งาน อินเทอร์เน็ต (Internet) หากคุณเป็นชาว Geek ในด้านนี้ ก็น่าจะรู้จักกับคำว่า "DNS หรือ Domain Name System" กันดีอยู่แล้ว มันเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการทำงานของโลกอินเทอร์เน็ต DNS ที่ดีจะช่วยให้ประสบการณ์ในการเล่นอินเทอร์เน็ตของคุณเป็นไปอย่างดีเยี่ยม
โดยปกติแล้ว หากเราไม่ไปปรับอะไรเป็นพิเศษ เราก็จะใช้ DNS ของทาง ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider - ISP) ที่เราใช้บริการอยู่ แต่บางคนก็เลือกที่จะเปลี่ยนไปใช้ DNS ของเจ้าอื่นแทน ซึ่งเจ้าที่คนส่วนใหญ่เลือกไว้วางใจว่าเป็นของดี แถมยังเป็นของฟรีก็จะมีอยู่ 2 รายใหญ่ คือ Google DNS และ Cloudflare DNS
ทำให้มีคำถามตามมาว่า ถ้าจะเปลี่ยน DNS จะเลือกใช้บริการของเจ้าไหนดีนะ ? ในบทความนี้ก็จะมาวิเคราะห์ข้อมูลให้อ่านกัน
ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาหลักของบทความนี้ เรามาทำความรู้จักกับ DNS กันก่อนดีกว่า ว่ามันคืออะไร ?
คำว่า DNS นั้น มาจากคำว่า "Domain Name System" มันเป็นบริการไดเร็กทอรีของระบบอินเทอร์เน็ต โดยเมื่อผู้ใช้คลิกลิงก์หรือพิมพ์ URL ลงในเบราว์เซอร์ มันก็จะเริ่มค้นหาที่อยู่ของเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต จุดนี้เอง ที่ DNS จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ
ตำแหน่งที่อยู่เว็บไซต์นั้นจะอยู่ในรูปแบบของ หมายเลขที่อยู่ไอพี (IP Address) ซึ่งเป็นชุดตัวเลขที่ยากแก่การจดจำ แต่ด้วยการที่มี DNS ช่วยทำหน้าที่เป็น โปรโตรคอลเครือข่าย (Network Protocol) ที่เชื่อมต่อผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ที่ต้องการได้ด้วยภาษาที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ แทนที่จะต้องจดจำตัวเลข IP Address เราก็สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ด้วยการพิมพ์ชื่อได้ เช่น "www.thaiware.com" แทนที่จะต้องพิมพ์ว่า "203.146.253.31" นั่นเอง
ข้อมูลเพิ่มเติม : VPN กับ DNS ต่างกันอย่างไร ในแง่ของการมุดเว็บ ?
เป็นเรื่องจริงที่ข้อมูลการใช้งานอินเทอร์เน็ตของคุณ เช่นว่า คุณเข้าเว็บไซต์ หรือคลิกลิงก์ไหนบ้าง ทางผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) สามารถติดตามความเคลื่อนไหวทั้งหมดนั้นได้ ซึ่งในบางกรณี ข้อมูลของเราอาจถูกนำไปขายให้กับบริษัทโฆษณา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ที่ต้องการรักษาความเป็นส่วนตัวถึงเลือกใช้งาน DNS แบบส่วนตัว (Private DNS)
แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ ก็คงไม่มีความจำเป็นขนาดที่จะต้องเสียค่าบริการ DNS แบบส่วนตัว โชคดีที่มันมี DNS ที่ได้รับยอมรับว่ามีความปลอดภัย และน่าเชื่อถือเปิดให้บริการฟรีอยู่ นั่นก็คือ Google public DNS (8.8.8.8) และ Cloudflare DNS (1.1.1.1) ตัวไหนน่าใช้งานกว่ากัน เราก็คงต้องมาเปรียบเทียบกันเป็นด้าน ๆ ไป
ในการเปรียบเทียบระหว่าง Cloudflare DNS และ Google DNS ตัวเลือกแรกเป็นที่ยอมรับว่าให้ความสำคัญกับการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ส่วน Google DNS ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กันเพราะมี Google คอยหนุนหลังอยู่
อย่างไรก็ตาม ทุกคนรู้กันดีว่า Google เป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องหารายได้จากการโฆษณา มันจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมเท่าไหร่นักหากว่าคุณใส่ใจด้านความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ Google DNS ยังไม่รองรับ DNS filtering อีกด้วย
DNS filtering เป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถช่วยป้องกันการถูกสแปมอีเมลที่ถูกส่งมาจาก IP addresses ที่อันตราย ซึ่ง Cloudflare DNS นั้นรองรับคุณสมบัติ DNS filtering ด้วย ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับความปลอดภัยมากขึ้น
อีกหนึ่งข้อดีของ Cloudflare DNS คือ มันรองรับการทำงานของ Tor clients ด้วย ซึ่งเครือข่าย Tor และ เว็บเบราว์เซอร์ Tor ช่วยให้คุณปกปิดตัวตนบนโลกอินเทอร์เน็ตได้อย่างแนบเนียน เป็นการรับประกันความเป็นส่วนตัวที่เหนือกว่าการใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ปกติ
และเหตุผลสุดท้ายที่ทำให้ Cloudflare DNS น่าสนใจคือ มันมีแอปพลิเคชัน และซอฟต์แวร์ให้ดาวน์โหลดได้ฟรีจาก 1.1.1.1 เพื่อใช้ในการตั้งค่าได้อย่างง่ายดาย โดยรองรับระบบปฎิบัติการ Windows, macOs, iOS, Android หรือแม้แต่ Linux
อุปกรณ์ในยุคนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นอุปกรณ์อัจฉริยะที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่ง DNS เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถช่วยปกป้องผู้ใช้จากเว็บไซต์อันตรายได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งในจุดนี้ Cloudflare DNS และ Google DNS ก็มีรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกัน
Google จะบันทึกข้อมูลการค้นหา IP Address เอาไว้ประมาณ 24-48 ชั่วโมง ด้วยเหตุผลทางด้านประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ในขณะที่ข้อมูลของ ISP และตำแหน่งจะถูกเก็บเอาไว้บนเซิร์ฟเวอร์ของ Google แบบถาวร
ทางด้าน Cloudflare จะเก็บข้อมูลธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ตเอาไว้เพียงเล็กน้อย และบันทึกข้อมูลข้อบกพร่องเอาไว้ 25 ชั่วโมง เพื่อทำการวิจัยข้อมูลอย่างถูกต้องด้วยสิทธิ์ตามกฏหมาย ดังนั้น หากคุณให้ความสำคัญกับข้อมูลส่วนตัว Cloudflare DNS 1.1.1.1 จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ในด้านความเร็ว ต้องยอมรับว่า ตอนนี้ Cloudflare เป็น DNS ที่มีความเร็วสูงสุด แต่ว่า Google DNS ก็จะมีจุดแข็งที่จำนวนเซิร์ฟเวอร์ที่มาก และครอบคลุมทั่วโลกมากกว่า พร้อมทั้งมีระบบแชร์ Cache ซึ่งปกติแล้ว DNS จะมีโอกาสเกิดปัญหาคอขวดเมื่อมีผู้ใช้งานพร้อมกันเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้การเปิดเว็บไซต์ต่าง ๆ มีความเร็วลดลง ซึ่งในจุดนี้ทาง Google ได้มีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงานของ DNS อยู่โดยตลอด
ดังนั้นในการเลือกใช้งาน DNS ก็ควรจะทดสอบดูว่าในพื้นที่ของคุณ เจ้าไหนที่ให้ความเร็วสูงสุด ? แล้วเลือกใช้บริการของเจ้านั้น
ภาพจาก : https://www.thousandeyes.com/blog/ranking-performance-public-dns-providers-2018
หัวข้อ | Cloudflare DNS | Google DNS |
Privacy Protocols | เพิ่มความปลอดภัยด้วยการปิดบังข้อมูลของผู้ใช้งาน | มีการแชร์ข้อมูลผู้ใช้งานให้กับพันธมิตร เช่น AdWards และ Double Click |
ความเร็ว | Cloudflare เป็นผู้ให้บริการ DNS ที่เร็วที่สุดในปัจจุบัน | ช้ากว่าเมื่อเทียบกับ Cloudflare |
ความนิยม | มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก | เป็น DNS ที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากเป็นอันดับสองของโลก |
การตั้งเซิร์ฟเวอร์ | กระจายไปในทุกประเทศ | ใช้ระบบเซิร์ฟเวอร์กลาง |
ความปลอดภัย | ใช้ TLS protocol ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ให้บริการ DNS ที่มีความปลอดภัยสูง | ใช้ TLS protocol แล้วเช่นกัน |
ลูกเล่นน่าสนใจ | ป้องกัน CDN และ DDoS พร้อม Web Application Firewall / ตั้งค่าง่าย | ทาง Google เป็นคนปรับแต่ง ใช้งานง่ายโดยผู้ใช้ไม่ต้องจัดการเอง |
Google DNS กับ Cloudflare DNS กล่าวได้ว่าเป็นของดีทั้งคู่ ที่มีจุดขายน่าสนใจในตัวเอง
หากคุณให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว และความเร็ว Cloudflare DNS (1.1.1.1) น่าจะตอบโจทย์คุณมากที่สุด แต่ถ้าต้องการความครอบคลุม Google DNS (8.8.8.8/8.8.4.4) ก็น่าจะตอบโจทย์
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่คุณใช้งานอยู่ด้วย ถ้าไม่คิดอะไรมาก ลองใช้บริการทีละเจ้า เจ้าไหนให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีต่อใจคุณมากที่สุดก็เลือกใช้เจ้านั้น
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |
ความคิดเห็นที่ 1
4 มีนาคม 2566 22:04:22
|
||
ผมใช้ Cloudflare มาตลอด เร็วดี
|
||