ในโลกของคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการ Windows ยังคงเป็นระบบปฏิบัติการที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก รักษาตำแหน่งแชมป์มาได้อย่างยาวนาน แม้ระยะหลังมานี้ จำนวนผู้ใช้งาน macOS จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม
หากนับตั้งแต่ ระบบปฏิบัติการ Windows เวอร์ชันแรก มาจนถึงเวอร์ชันล่าสุดอย่างระบบปฏิบัติการ Windows 11 ก็มีมาเกือบ 20 เวอร์ชันแล้ว แน่นอนว่ามันไม่ได้ปังประสบความสำเร็จทุกเวอร์ชัน มีหลายเวอร์ชันที่ได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างแย่จากผู้ใช้ อย่างเช่น Windows ME และ Windows 8 เป็นต้น
แต่ที่เราจะมาเจาะประเด็นกัน จะเป็น ระบบปฏิบัติการ Windows Vista ที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550) หนึ่งในระบบปฏิบัติการ Windows ที่ออกแบบมาได้อย่างสวยงาม และมีคุณสมบัติหลายอย่างที่ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญมาจนถึงปัจจุบัน ทุกอย่างฟังเแล้วเหมือนจะดี แต่ทำไมมันถึงแป้ก ในบทความนี้จะมาวิเคราะห์กัน
Windows Vista
ภาพจาก : https://www.deviantart.com/shi-art/art/Windows-Vista-Screen-shot-55838937
ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกว่า "ทำไม Windows Vista ถึงถูกวิจารณ์ว่าแย่ ?" เราควรจะเข้าใจสภาวการณ์ของคอมพิวเตอร์ในขณะที่ระบบปฏิบัติการ Windows Vista เปิดตัวกันก่อนสักเล็กน้อย
ระบบปฏิบัติการเวอร์ชันก่อนหน้า Windows Vista นั้นก็คือ Windows XP ที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่สามารถกู้หน้าให้กับ Microsoft ได้อย่างงดงาม หลังจากที่ Windows ME ที่เปิดตัวก่อนหน้านั้นเพียงปีเดียว ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า เต็มไปด้วยบั๊กมากมาย
Windows XP นั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ไม่ว่ามันจะดีเพียงใด เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ได้เวลาที่ต้องปลดระวางเพื่อต้อนรับของใหม่ หลังจากผ่านไป 5 ปี ทาง Microsoft ก็ได้ประการเปิดตัว Windows Vista แก่ผู้ใช้งานในปี ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550)
Windows Vista
ภาพจาก : https://www.thespinningdonut.com/the-windows-vista-start-menu/
แต่การเปิดตัว Windows Vista นั้นแตกต่างจาก Windows XP อย่างสิ้นเชิง เสียงตอบรับจากผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นไปในด้านลบ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลให้ระบบปฏิบัติการ Windows XP ถูกยืดระยะออกไปอีก และกลายเป็นระบบปฏิบัติการ Windows ที่ทาง Microsoft ให้การสนับสนุนยาวนานที่สุด โดยมันถูกยุติการสนับสนุนลงในปี ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557) หากนับตั้งแต่เปิดตัวก็เป็นเวลากว่า 13 ปี เลยทีเดียว
ปัญหาของระบบปฏิบัติการ Windows Vista ส่วนใหญ่มาจากความต้องการขั้นต่ำของระบบที่สูงมาก เมื่อเทียบกับ Windows XP ลองมาดูตารางเปรียบเทียบสเปคที่แนะนำของทั้งคู่
Windows XP | Windows Vista | |
---|---|---|
CPU | 300 MHz | 1 GHz |
RAM | 128 MB. | 1 GB. |
VRAM | - | 128 MB. |
ความจุฮาร์ดไดร์ฟ | 1.5 GB. | 40 GB. |
พื้นที่ว่างบนฮาร์ดไดร์ฟ | 2.5 GB. | 15 GB. |
จะเห็นได้ว่าความต้องการของ Windows Vista นั้น เมื่อเทียบกับ Windows XP แล้ว ถือว่าเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ใน "ยุคนี้" เราอาจจะรู้สึกว่ามันก็ค่อนข้างธรรมดา แต่ใน "ยุคนั้น" คอมพิวเตอร์ที่จะใช้งาน Windows Vista ได้จัดว่าสูงพอสมควร สามารถกล่าวได้ว่า ไม่ใช่เป็นสเปกคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ของผู้ใช้ในเวลานั้น
และ Microsoft ก็ได้ตัดสินใจทำสิ่งที่ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของระบบปฏิบัติการ Windows Vista แย่ลงยิ่งกว่าเดิม
Microsoft ได้ทำการตลาดว่า คอมพิวเตอร์แทบทุกเครื่องที่วางจำหน่ายหลังปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) จะสามารถใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows Vista ได้ มีการผลิตสติกเกอร์ มาแปะลงบนคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows XP เอาไว้เพื่อบอกว่ามัน "Windows Vista-Capable" (รองรับ Windows Vista) ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สเปกของมันไม่สามารถใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows Vista ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ภายหลัง เรื่องนี้ได้กลายเป็นคดีความที่ทำให้ Microsoft ถูกฟ้องร้องเลยทีเดียว
นอกจากเรื่องความต้องการขั้นต่ำของระบบแล้ว มันยังมีปัญหาอีกหลายด้าน อย่างเช่น คุณสมบัติ "User Account Control" ที่ช่วยปกป้องไม่ให้ซอฟต์แวร์แอบทำอะไรไม่ดีในระบบได้ แต่ปัญหาของมันคือ มันปรากฏถี่มาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็แจ้งเตือนให้ผู้ใช้คลิก "Yes" ตลอดเวลา มันเอาทุกจังหวะ ไม่ว่าจะเป็นเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังถาม จนสร้างความรำคาญให้แก่ผู้ใช้สุด ๆ
ก็จะเห็นได้ว่า ระบบปฏิบัติการ Windows Vista นั้นเปิดตัวได้ไม่สวยงามมากนัก แต่มันสมควรกับคำว่า "ห่วยหรือเปล่า ?" หรือมันแค่ "มาก่อนกาล"
เรื่องนี้น่าสนใจเพราะว่า ระบบปฏิบัติการ Windows 7 ที่ออกมาตามหลัง Windows Vista ในปี ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) เอาจริง ๆ มันก็แทบไม่ต่างจาก Windows Vista เลย เพราะมันถูกพัฒนาต่อมาจากของเดิม และคุณสมบัติหลายอย่างของ WIndows Vista ก็ยังเป็นรากฐาน ในการพัฒนาต่อมาจนถึงระบบปฏิบัติการ Windows 11 ด้วยซ้ำ ดังนั้น หรือจริง ๆ แล้ว มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ผิดที่มาก่อนกาล ในยุคที่ฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ยังไม่พร้อม
ถ้าบังเอิญเราเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีคอมพิวเตอร์ที่แรงมาก สามารถใช้งาน Windows Vista ได้อย่างไม่มีปัญหา มันจะยังเป็นระบบปฏิบัติการที่แย่หรือไม่ ? น่าเสียดายที่เราต้องตอบว่า "มันก็ยังแย่อยู่ดี" ปัญหาของมันมีหลายอย่าง ดังต่อไปนี้
ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย Microsoft ได้กำหนดให้ระบบปฏิบัติการ Windows Vista เวอร์ชัน 64 บิต ติดตั้งไดรเวอร์ได้แค่ในโหมด Kernel เท่านั้น แต่เนื่องจากการรันโค้ดในโหมด Kernel มันจะได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าถึงส่วนต่าง ๆ ของระบบได้ค่อนข้างมาก ทาง Microsoft จึงกำหนดให้ไดร์เวอร์ที่จะติดตั้งได้ จำเป็นจะต้องมีใบรับรองการยืนยันตัวตน (Authenticode Certificate) เสียก่อน
โดยผู้พัฒนาซอฟต์แวร์จะต้องส่วนไดร์เวอร์ไปให้ทาง Microsoft ตรวจสอบ และลงทะเบียนให้ เมื่อผ่านแล้วจึงจะได้รับ Authenticode certificate มา ถ้าหากไดร์เวอร์ไม่มีใบรับรอง เมื่อติดตั้งลงไป ระบบปฏิบัติการ Windows Vista จะไม่ยอมโหลดไดร์เวอร์ดังกล่าวขึ้นมาทำงาน
มันก็เหมือนจะไม่มีผลเสียอะไร กับการใช้วิธีการนี้ เพื่อรับรองความปลอดภัยให้กับระบบปฏิบัติการ Windows Vista
แต่ปัญหาคือ Authenticode Certificate มีค่าใช้จ่ายด้วย แถมยังแพงพอสมควร โดยอยู่ที่ประมาณ $400-$500 (ประมาณ 14,000 - 17,500 บาท) ต่อปี นั่นทำให้นักพัฒนารายย่อย หรือนักพัฒนาอิสระที่เขียนซอฟต์แวร์เป็นงานอดิเรกได้รับผลกระทบไปแบบเต็ม ๆ แม้ว่า Microsoft จะอนุญาตให้ปิดระบบตรวจสอบการลงทะเบียนไดร์เวอร์ได้ แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ หรือปิดด้วยตนเองไม่เป็น
ดังนั้น เมื่อผู้ใช้อัปเดตระบบปฏิบัติการเป็น Windows Vista มันทำให้ซอฟต์แวร์หลายตัวที่ไม่ได้รับการลงทะเบียน Authenticode certificate มีปัญหาทันที เพราะไดร์เวอร์ไม่สามารถทำงานได้
Alexander Sotirov และ Mark Dowd นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบเทคนิคที่สามารถใช้ข้าม หรือบายพาส (Bypasses) ระบบรักษาความปลอดภัยบนหน่วยความจำ (Memory Protection) แบบใหม่หลายตัว ที่มีอยู่ในระบบปฏิบัติการ Windows Vista เช่น การใช้เทคนิค Address Space Layout Randomization (ASLR) ในการทำ Buffer Overflow นั่นเอง
Microsoft ได้เพิ่มระบบ Digital rights management (DRM) เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการ Windows Vista เลย โดยมีระบบ Protected Video Path (PVP) ที่รองรั บ High-Bandwidth Digital Content Protection (HDCP) และ Image Constraint Token (ICT) คุณสมบัติเหล่านี้ถูกใส่เข้ามาใน Windows Vista เนื่องจากข้อกำ หนดที่ต้องมีระบบปกป้องเนื้อหาเวลาที่เล่นไฟล์จาก แผ่น HD-DVD และ แผ่น เป็นต้น Blu-ray
โดยระบบ Protected Video Path (PVP) จะ
ทำงานเสมอ เมื่อมีการเล่นเนื้อหาที่ถูกแปะป้าย "Protected" (ป้องกัน) เอาไว้ มันจะต้องผ่านด่านตรวจสอบที่เรียกว่า User-Accessible Bus (UAB) ไม่เพียงแค่นั้น ฮาร์ดแวร์ทุกส่วนที่มีการทำงานกับเนื้อหา อย่างเช่น การ์ดจอ ก็จะต้องผ่านการรับรองจาก Microsoft ก่อนที่จะเริ่มเล่นด้วย โดยจะใช้ Hardware Functionality Scan (HFS) เข้ามาช่วยในการตรวจสอบและยังมีการลดความละเอียดของภาพลงจาก ความละเอียด 1,920 x 1,080 พิกเซล ให้เหลือเพียง 960 x 540 พิกเซล ในกรณีที่สัญญาณวิดีโอขาออกไม่ได้รับการปกป้องด้วย High-Bandwidth Digital Content Protection (HDCP) ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ถูกควบคุมโดย Microsoft ที่จะคอยอัปเดตผ่านอินเทอร์เน็ต
เราก็จะเห็นได้ว่า DRM ใน Windows Vista สามารถลดความละเอียดในการเล่นวิดีโอได้ หรือในกรณีที่แย่ที่สุดคือเล่นไม่ได้เลย แถมในการตรวจสอบสิทธิ์ DRM นี้ มันจะใช้ทรัพยากรของ CPU เป็นระยะอีกด้วย หากคอมพิวเตอร์ไม่แรงพอ ก็จะส่งผลให้ระบบทำงานได้ช้าลง
อย่างที่เราได้เล่าไปแล้วในด้านบนว่า Microsoft ได้ประกาศว่า "คอมพิวเตอร์แทบทุกเครื่องที่วางจำหน่ายหลังปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) จะสามารถใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows Vista ได้"
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ ฮาร์ดแวร์ที่เคยใช้งาน Windows XP ได้อย่างสบาย ๆ ไม่สามารถใช้งาน Window Vista ได้ หรือได้ก็ได้ไม่ดีนัก ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้มีแค่เรื่องสเปคของฮาร์ดแวร์เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของ ไดร์เวอร์ (Driver) ด้วย ฮาร์ดแวร์หลายส่วนไม่ได้รับการอัปเดตไดร์เวอร์ ไม่ว่าจะเพราะผู้ผลิตถอนตัวออกจากตลาดไปแล้ว หรือผู้ผลิตไม่สนใจที่จะอัปเดตไดร์เวอร์ให้กับฮาร์ดแวร์รุ่นเก่าก็ตาม
ในส่วนของความเร็ว ก็มีการทดสอบแล้วค้นพบว่า มีซอฟต์แวร์หลายตัวที่พึ่งพา CPU ในทำงานเป็นหลัก จะทำงานได้ช้าลงบน Windows Vista มากถึง 18% - 24% เช่น การเข้ารหัส H.264, โปรแกรม Photoshop และ โปรแกรม WinRAR เป็นต้น
และชื่อเสียงของ Windows Vista ก็เลวร้ายมากขึ้น เมื่อคอมพิวเตอร์ และโน้ตบุ๊กสเปกต่ำมากมาย ดันเลือกที่จะติดตั้ง Windows Vista มาให้ ซึ่งมันก็ช้าจนภายหลังผู้ผลิต รวมไปถึง Microsoft เอง ต้องเสนอบริการดาวน์เกรดเวอร์ชันกลับไปเป็น Windows XP
ในช่วงแรกที่ Windows Vista เปิดตัว ผู้ใช้จำนวนมากได้รายงานว่า เรื่องพื้นฐานอย่างการบริหารจัดการไฟล์ เช่น การคัดลอก (Copy), ตัด (Cut) หรือแม้แต่ลบ (Delete) บน Windows Vista นั้นทำงานช้ามาก และหากต้องการคัดลอกไฟล์เป็นจำนวนมากก็มักจะไม่สามารถทำได้สำเร็จ จำเป็นต้องใช้ท่าพิเศษ เช่น การคัดลอกด้วย Command Line เข้ามาช่วย จึงจะสามารถทำได้
ปัญหานี้เกิดขึ้นนานกว่า 6 เดือน Microsoft ถึงจะออกมายอมรับว่าเป็นปัญหาจริง และได้ออกแพทช์แก้ไขออกมาผ่าน Windows Update อย่างไรก็ตาม แม้มันจะได้รับการแก้ไขให้เร็วขึ้น
ในช่วงแรกของ Windows Vista มีปัญหากับการเล่นเกมด้วย โดยมีหลายเกมที่เฟรมเรตตกลงไปเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับการรันบน Windows XP ซึ่งสาเตหุของปัญหาก็มาจากไดร์เวอร์ที่ทำงานร่วมกับการ์ดจอนั้นยังขาดความพร้อม รวมไปถึงการที่ Windows Vista ใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองกว่าด้วย ทำให้บางเกมที่เคยเล่นได้ลื่นบน Windows XP ต้องการคอมพิวเตอร์ที่สเปคสูงขึ้นเพื่อให้เล่นได้ลื่นเท่าเดิม
Windows Aero เป็น Graphical User Interface (GUI) แบบใหม่ที่มีการออกแบบให้มีความโปร่งใส และเบลอคล้ายกระจก ซึ่งเป็น GUI ที่มีการพัฒนา และถูกใช้ต่อเนื่องใน Windows 7, Windows 8 และ Windows 8.1 ก่อนจะถูกยกเลิกไปใน Windows 10
อันที่จริง Windows Aero นั้นออกแบบมาได้สวยงาม และมีคุณสมบัติที่ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้ง่ายขึ้นหลายอย่าง แต่ปัญหาคือ มันใช้ทรัพยากรในการทำงานสูงมากสำหรับสเปคคอมพิวเตอร์ในยุคนั้น และเมื่อมันไปอยู่บนโน้ตบุ๊ก ก็ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วมาก จนถึงกับมีคำกล่าวว่าให้ปิดคุณสมบัติ Windows Aero เพื่อประหยัดแบตเตอรี่ออกมาแนะนำเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม เพื่อความยุติธรรม การใช้ทรัพยากรเยอะขึ้น หรือสิ้นเปลืองแบตเตอรี่มากขึ้น ก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเมื่อ Windows เวอร์ชันใหม่เปิดตัวออกมา เพราะคุณสมบัติมันเพิ่มขึ้น, ดีขึ้น และทำงานฉลาดขึ้น ก็ต้องใช้ทรัพยากรในการทำงานสูงขึ้นเป็นธรรมดา เพียงแต่ Windows Vista อาจจะเพิ่มแบบก้าวกระโดดมากเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง
อ้างอิงจากรายงานของ Gartner ได้ระบุว่า บริษัทหลายแห่งหลีกเลี่ยงที่จะอัปเดตเป็นระบบปฏิบัติการ Windows Vista เนื่องจากปัญหาในการทำงานของซอฟต์แวร์ ที่จำเป็นต้องมีการอัปเดตถึงจะสามารถทำงานบน Windows Vista ได้อย่างปกติ เพราะแม้จะมีซอฟต์แวร์ที่สามารถทำงานได้ตามปกติ แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีบั๊กอยู่ดี
ราคาขายของ Windows Vista ที่ Microsoft ทำตลาดนั้นก็ถูกค่อนขอดว่ามีราคาแพง แถมราคาที่วางจำหน่ายในแต่ละประเทศก็แตกต่างกันเกินไป เมื่อเทียบกับราคาของ Windows XP อย่างราคาที่วางจำหน่ายในประเทศอังกฤษ จะแพงกว่าที่ประเทศสหรัฐอเมริกาถึง 2 เท่า
ในประเทศอังกฤษ หากคุณต้องการอัปเกรดจาก Windows XP เป็น Windows Vista Home จะต้องจ่าย €126 (ประมาณ 4,700 บาท) ซึ่งหากคุณซื้อในประเทศสหรัฐอเมริกาคุณจะจ่ายเพียง €64 (หรือประมาณ 2,400 บาท) เท่านั้น
ปัญหา Windows เถื่อนนั้นมีมาอย่างยาวนาน และ Windows Vista ก็พยายามหาทางปกป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยการพัฒนาระบบ Software Protection Platform (SPP) ขึ้นมา
โดยหาก SPP ตรวจพบว่า Windows ยังไม่ได้รับการ Activate หรือเป็น Windows ที่แครกมา มันจะทำการลดคุณสมบัติของตัว Windows ลง ด้วยการทำให้แถบงาน (Taskbar), ไอคอนบนหน้าจอ และพื้นหลังหน้าจอหายไป จากนั้นเมื่อผ่านไป 1 ชั่วโมง ก็จะทำการออกจากระบบ (Logout) ผู้ใช้ออกจากระบบ และมีหน้าต่างแจ้งเตือนให้ซื้อ Windows มาทำการ Activate ให้เรียบร้อย
โอเค มันเป็นปัญหาของผู้ใช้งาน Windows เถื่อนที่เราไม่ต้องสนใจ หรือเห็นใจพวกโจรเหล่านั้น
แต่ปัญหาคือ การตรวจสอบที่ว่านี้ทำผ่านระบบของ Microsoft และระบบมันก็ "ล่ม" ซึ่งเมื่อล่มแล้วก็ตรวจสอบไม่ผ่าน มันจึงคิดว่าผู้ใช้กำลังใช้งาน Windows ปลอมอยู่ ทั้ง ๆ ที่ผู้ใช้ซื้อ Windows Vista แบบลิขสิทธิ์มาใช้งานอย่างถูกต้องทุกประการ
จากทั้งหมดที่ว่ามา ก็ต้องยอมรับว่า Windows Vista มีข้อผิดพลาดหลายอย่าง แต่ถ้านำไปเทียบกับ Windows ME มันก็อยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่ามาก และความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับ Windows Vista ก็กลายเป็นรากฐานที่มั่นคงที่ช่วยให้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 นั้นเปิดตัวได้อย่างสวยงาม ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นถูกแก้ไขไปเกือบหมด รวมไปถึงคุณสมบัติหลายอย่างที่เราใช้งานกันใน Windows 11 ที่เป็นเวอร์ชันล่าสุดในขณะนี้ก็เริ่มต้นเป็นครั้งแรกที่ Windows Vista ดังนั้น เราก็เลยคิดว่า Windows Vista อาจจะแย่ก็จริง แต่ก็มีอะไรดี ๆ อยู่เช่นกัน
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |