การรับชมภาพยนตร์ หรือซีรีส์ในยุคนี้ คงไม่ค่อยมีใครซื้อ หรือเช่าแผ่นมาดูกันแล้วล่ะมั้ง น่าจะดูผ่านบริการสตรีมมิ่งกันหมดแล้ว ซึ่งทุกวันนี้มีให้เลือกใช้บริการเพียบ เช่น Netflix, Disney+, WeTV, VIU ฯลฯ
ถ้าหากใครพบปัญหาเวลารับชมแล้วภาพมันไม่คมชัด ทำอย่างไรก็ไม่สามารถเพิ่มความละเอียดของวิดีโอได้ ทั้งที่ทั้งสเปคฮาร์ดแวร์ และความเร็วของอินเทอร์เน็ตก็สมบูรณ์แบบ
ความจริงแล้วปัญหาที่คุณกำลังเผชิญอยู่ อาจจะเป็นผลมาจากการที่อุปกรณ์ของคุณไม่รองรับระบบ Widevine DRM ก็เป็นได้
ข้อมูลเพิ่มเติม : DRM (Digital Rights Management) คืออะไร ? ทำไมหลายคนถึงเกลียดมัน ?
และในบทความนี้ เราจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักว่า "Widevine DRM คืออะไร ?" ทำไมถึงสำคัญต่อการรับชมวิดีโอความละเอียดสูง เราจะมาอธิบายให้เข้าใจกัน เริ่มกันเลย
สำหรับ Widevine DRM เป็นระบบเข้ารหัสเพื่อคุ้มครองเนื้อหาจากการละเมิดลิขสิทธิ์ที่ได้รับความนิยมในการเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ถูกคิดค้นขึ้นมาโดยบริษัทสตาร์ทอัป Internet Direct Media แต่ Google ได้เข้าซื้อกิจการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) และดูแลพัฒนามาจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งตั้งแต่ Google ครอบครอง Widevine มันก็เลยถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์หลายอย่าง Goolge เช่น Chrome, Android Mobile และ Android TV
โดย Widevine DRM เป็นระบบ DRM ที่ถูกใช้อย่างกว้างขวางในการเข้ารหัสเนื้อหาระดับพรีเมียมที่เผยแพร่ผ่าน เว็บเบราว์เซอร์ อย่างเช่น Google Chrome, Mozilla Firefox, Microsoft Edge ฯลฯ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ หรือคัดลอกเนื้อหาไปแจกจ่าย
คุณอาจเคยสังเกตพบว่าอุปกรณ์ Android บางรุ่น หรือเว็บเบราว์เซอร์ ไม่สามารถเล่นบริการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix, Disney+ ฯลฯ ที่ความละเอียดระดับสูง ความละเอียด Full HD (1080p) หรือสูงกว่าได้ นั่นก็เพราะว่าเทคโนโลยี Widevine DRM นั้นจะปิดกั้นไม่ให้ อุปกรณ์ที่มีความปลอดภัยต่ำ สามารถเล่นเนื้อหาความละเอียดสูงได้ เพื่อลดความเสียหาย การสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจากการถูกละเมิดลิขสิทธิ์
โดยคุณสมบัติของ Widevine ได้รับการพัมฒาให้สามารถทำตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของเนื้อหาดังต่อไปนี้
จากคุณสมบัติที่ว่ามา ทำให้ Widevine DRM ถูกใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลายจากแพลตฟอร์มประเภท Over-the-top media service (OTT) อย่าง YouTube, Netflix, Prime Video, Disney+, Paramount+, Hulu ฯลฯ
Widevine DRM ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้
ถือเป็น Widevine เวอร์ชันเก่า ที่ปัจจุบันมีใช้งานแค่ในสมาร์ททีวี และ สมาร์ทโฟน แอนดรอยด์รุ่นเก่า ๆ ที่เป็นเวอร์ชัน 3.1 ~ 5.1 เท่านั้น ปัจจัยสำคัญในการทำงานของมันคือ ตัวเนื้อหาจะต้องอยู่ในรูปแบบของมาตรฐาน .WVM เท่านั้น ซึ่งเป็นมาตรฐานประเภท Proprietary
อุปกรณ์รุ่นใหม่ในปัจจุบันนี้ จะไม่รองรับการทำงานของ Widevine Classic เนื่องจากทาง Google ได้ออก Widevine เวอร์ชันใหม่ออกมาให้ใช้งานแล้ว
Widevine Modular เป็น Widevine เวอร์ชันที่ถูกใช้งานอยู่ในปัจจุบัน มันรองรับโปรโตคอลสำหรับบริการสตรีมมิ่งได้หลายมาตรฐาน ทั้ง MPEG-DASH, HLS, MSS, CMAF, CENC, HTML5 EME & MSE
ภาพจาก : https://pallycon.com/blog/what-is-google-widevine-drm-and-how-does-it-work/
เมื่อเรารู้ขั้นตอนการทำงานของ Widevine DRM แล้ว เรามาต่อกันที่องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ Widevine DRM สามารถทำงานได้กันด้วยเลยดีกว่า โดยมันมี 3 องค์ประกอบหลัก ประกอบไปด้วย
ส่วนนี้ ทาง Google เป็นผู้ดูแลโดยตรง มันทำหน้าที่ในการสร้างลิขสิทธิ์ในการรับชม เวลาที่ได้รับคำขอเข้ามาจาก License proxy server และส่งกลับไปให้เซิร์ฟเวอร์ดังกล่าว ส่วนนี้ทาง Google ให้บริการกับลูกค้าระดับองค์กรเท่านั้น
เปรียบเสมือนตัวกลางระหว่างผู้ใช้งาน กับ Widevine Cloud Licensing Service เพราะผู้ใช้จะไม่ได้ส่งคำขอไปยัง Widevine Cloud Licensing Service โดยตรง แต่อุปกรณ์จะส่ง และรับ Unique key ผ่าน License proxy server
หมายถึงอุปกรณ์ที่ผู้ใช้ใช้ในการรับชม ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, กล่องทีวี, ทีวี รวมไปถึงเว็บเบราว์เซอร์ด้วย โดยอุปกรณ์ที่สามารถใช้งาน Widevine DRM ได้ จะต้องมีการทำสัญญาเพื่อตรวจสอบคุณภาพ และฮาร์ดแวร์กับทาง Widevine ก่อนด้วย ถึงจะมีสิทธิ์ในการเข้าถึงบริการได้
สำหรับผู้ให้บริการ DRM ที่เป็น บุคคลที่สาม (3rd-Party) ที่ต้องการเข้าถึง License Proxy Server จะต้องผ่านมาตรฐาน และเข้าร่วมกับโปรแกรม Certified Widevine Implementation Partner (CWIP) เสียก่อน
Widevine DRM นั้นมีความปลอดภัยอยู่ 3 ระดับ คือ L1, L2 และ L3 คุณอาจจะเคยเห็นผู้ผลิตบอกว่า สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต รุ่นนี้รองรับ L1 ในคำโฆษณา นั่นก็เพื่อเป็นการบอกว่า อุปกรณ์ดังกล่าวจะสามารถรับชมเนื้อหาที่ความละเอียดระดับสูงได้นั่นเอง
ภาพจาก : https://help.netflix.com/en/node/116633
ทีนี้ ก็น่าจะเข้าใจกันแล้วนะครับ ว่าทำไมบางอุปกรณ์ถึงไม่สามารถรับชมเนื้อหาแบบความละเอียดสูงได้ เหตุผลก็มาจากการที่มันไม่รองรับ L1 และไม่สามารถทำ TEE ได้นั่นเอง
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |