เมื่อไหร่ที่เรากำลังต้องเขียนโค้ด หรือมีความสนใจที่จะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ และต้องการที่จะไปหาข้อมูลเพิ่มเติมบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ทุกคนเคยสงสัยกันหรือเปล่า ? ว่ามันมักจะมีประโยคหนึ่งที่จะเตะตาพวกเราอยู่เสมอ แน่น่อนมันก็คือคำว่า "Full Stack Developer" หรือ "นักพัฒนาฟูลสแต็ก" นั่นเอง
โดยมันมักจะถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็นในหมู่เพื่อนร่วมงานที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี หรือในฟอรัม (Forum) บนชุมชนออนไลน์ โดยเฉพาะเมื่อเราเริ่มสนใจอาชีพด้านการเขียนโค้ดก็จะยิ่งได้เห็นมากขึ้นไปอีก แล้ว Full Stack Developer มันคืออะไรกันแน่ ?
ถ้าให้พูดกันง่าย ๆ นักพัฒนาฟูลสแต็ก พวกเขาก็เป็นเหมือน "มีดพกอเนกประสงค์" ในโลกของการพัฒนาโปรแกรม ซึ่งในบทความนี้จะพาทุกคนไปดูภาพรวมเกี่ยวกับนักพัฒนาฟูลสแต็กว่าพวกเขาเป็นใคร ? นักพัฒนา Full Stack Developer มีที่มาอย่างไร ? พวกเขาทำอะไร ? ความต้องการในตลาดแรงงาน และแนวทางการเรียนรู้สำหรับการเป็นนักพัฒนาฟูลสแต็ก
ภาพจาก : https://bootcamp.cvn.columbia.edu/blog/how-to-become-computer-programmer-fast-without-degree/
ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักกับนักพัฒนาฟูลสแต็ก เราต้องมาทำความเข้าใจกับสิ่งแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นกันก่อนซึ่งนั่นก็คือ "เทคโนโลยีฟูลสแต็ก (Full Stack)" ซึ่งคำนี้เป็นคำที่ใช้เพื่ออธิบายการทำงานทั้งด้านหน้า และด้านหลังของระบบแอปพลิเคชันคอมพิวเตอร์ หรือเว็บไซต์ โดยจะแบ่งออกเป็นสองส่วนที่มีความสำคัญพอ ๆ กัน ได้แก่ Front End และ Back End โดยแต่ละส่วนจะมีความหมายดังนี้
ภาพจาก : https://www.techterrotor.com/2022/02/frontend-and-backend-developer.html
Front End หมายถึงส่วนที่ผู้ใช้งาน หรือผู้เข้าชมเว็บไซต์ สามารถมองเห็น และโต้ตอบได้ เช่น การออกแบบหน้าตาเว็บไซต์, ตำแหน่งปุ่ม, การจัดวางเนื้อหา หรือแอนิเมชันต่าง ๆ ทุกสิ่งที่ผู้ใช้สามารถสัมผัสได้ในแอปพลิเคชัน หรือบนเว็บนั้นถูกสร้าง และควบคุมโดยนักพัฒนาส่วนหน้า เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา Front End ส่วนใหญ่จะประกอบด้วย ภาษา HTML, ภาษา CSS, และ ภาษา JavaScript (JS) รวมถึงเฟรมเวิร์ก หรือ ไลบรารี (Library) ที่พัฒนาต่อจากภาษาเหล่านี้ เพื่อช่วยให้การทำงานเร็วขึ้น เช่น React, Angular หรือ Vue.js นอกจากนี้ยังมีการใช้ระบบการจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์ (Content Management System - CMS) เช่น WordPress ในการพัฒนาเว็บไซต์อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์นั่นเอง
ในทางกลับกัน Back End คือส่วนที่อยู่เบื้องหลังระบบทั้งหมด จะเป็นโค้ด และโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยให้แอปพลิเคชันทำงานได้ราบรื่น ส่วนนี้ประกอบด้วย เซิร์ฟเวอร์ (Server), ฐานข้อมูล (Database) และแอปพลิเคชันเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ในการจัดการข้อมูล ส่วนนี้ทำการคำนวณ และประมวลผลต่าง ๆ เพื่อที่จะส่งข้อมูลไปยัง Front End นักพัฒนาส่วนหลังนี้ มักจะใช้ภาษาโปรแกรมเช่น ภาษา Python, ภาษา Java, ภาษา Ruby หรือ ภาษา PHP ในการเขียนโค้ดที่สื่อสารกับฐานข้อมูล และระบบเซิร์ฟเวอร์ ส่วนฐานข้อมูลเองก็มักจะเป็น ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System - DBMS) เช่น MySQL, PostgreSQL หรือ MongoDB
ด้วยการแบ่งการทำงานของการพัฒนาแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์แบบนี้ ก็จะทำให้องค์กร หรือผู้ให้บริการสามารถส่งมอบประสบการณ์ผู้ใช้ขั้นสูงได้
หลังจากที่เราได้รู้จักเทคโนโลยีฟูลสแต็กไปกันไปแล้ว ทีนี้เรามาเข้าประเด็นกันที่ นักพัฒนาฟูลสแต็ก หรือ ฟูลสแต็กดีเวลลอปเปอร์ (Full Stack Developer) กันต่อเลยดีกว่า พวกเขาเป็นใคร ?
นักพัฒนาฟูลสแต็ก เป็นผู้ที่มีทักษะทั้งสองด้านไม่ว่าจะ Front End หรือ Back End พวกเขาสามารถพัฒนาแอปพลิเคชันได้ครอบคลุมทุกส่วน ตั้งแต่การออกแบบหน้าจอที่ผู้ใช้ไปจนถึงการจัดการ และประมวลผลข้อมูลในเบื้องหลัง ซึ่งความสามารถที่ครอบคลุมนี้ทำให้พวกเขามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพราะเนื่องจากพวกเขาสามารถทำงานได้ครอบคลุม และเข้าใจทุกขั้นตอนตลอดกระบวนการพัฒนาแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์
ภาพจาก : https://techbootcamps.utexas.edu/blog/how-to-become-a-programmer/
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ให้ทุกคนลองนึกถึงร้านอาหาร โดย Front End เปรียบเสมือนห้องอาหารที่ตกแต่งอย่างดี ลูกค้าสามารถเห็น และสัมผัสได้ เช่น โต๊ะอาหาร, การจัดวางจาน และการบริการที่ดีเยี่ยม ส่วน Back End ก็เปรียบเหมือนครัว และห้องเก็บวัตถุดิบที่ถูกซ่อนอยู่จากสายตาลูกค้า นักพัฒนาส่วนหน้าทำหน้าที่เหมือนกับพนักงานที่บริการลูกค้าในห้องอาหาร คอยทำให้การใช้งานแอปพลิเคชันลื่นไหลและดูดี ขณะที่นักพัฒนาส่วนหลังทำหน้าที่เหมือนเชฟที่ทำงานในครัว คอยนำวัตถุดิบจากห้องเก็บ (ฐานข้อมูล) มาปรุงในครัว (เซิร์ฟเวอร์) ให้ได้อาหารที่สมบูรณ์ (ข้อมูล) เสิร์ฟให้กับลูกค้า
ภาพจาก : https://blog.codeanalogies.com/2020/01/21/web-development-explained-by-trying-to-run-a-restaurant/
โดยนักพัฒนาฟูลสแต็กไม่เพียงแค่ทำงานในส่วนหน้า และส่วนหลังเท่านั้น แต่พวกเขายังมีความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างทั้งสองส่วนได้อย่างราบรื่น พวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างการทำงานของทั้งสองด้านเพื่อให้แอปพลิเคชันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักพัฒนาฟูลสแต็กจึงถือเป็นบุคคลที่มีความสามารถหลากหลาย และเป็นที่ต้องการในวงการพัฒนาโปรแกรม
โดยจริง ๆ แล้ว คำว่า “ฟูลสแต็กดีเวลลอปเปอร์” เกิดขึ้นในช่วงยุคแรก ๆ ของเว็บไซต์ ที่ในตอนนั้นยังมีความเรียบง่ายไม่ซับซ้อนมาก และเล็กพอที่คนเพียงคนเดียวจะสามารถดูแลทุกส่วนของการสร้างเว็บไซต์ได้ คำว่า "ฟูลสแต็ก" จึงหมายถึงการครอบคลุมทุกชั้นหรือ "สแต็ก" (Stack) ของเทคโนโลยี ตั้งแต่การออกแบบ ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ (User Interface - UI) ไปจนถึงการจัดการข้อมูลและระบบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน
แต่ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมานั้น โลกอินเทอร์เน็ตกว้างขวางมากขึ้น เว็บก็ซับซ้อนขึ้นมากเช่นกัน การมาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning), การคำนวณแบบทำนายล่วงหน้า (Predictive Computing) และการออกแบบที่ตอบสนองได้ทุกอุปกรณ์ (Responsive Design) ทำให้การพัฒนาเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันนั้นยากขึ้นไปตาม ๆ กัน แต่มันก็ยังคงเป็นไปได้สำหรับนักพัฒนาเพียงคนเดียวที่จะทำทุกอย่างได้
ภาพจาก : https://kinsta.com/blog/responsive-web-design/
ในปัจจุบัน บริษัทสมัยใหม่มักพึ่งพาทีมนักพัฒนาเพื่อจัดการอุปกรณ์เครือข่าย, ใช้เครื่องเสมือน (Virtual Machines) และดูแลฐานข้อมูลขนาดใหญ่ การที่จะเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ซับซ้อนทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลา ทำให้นักพัฒนาที่สามารถทำเช่นนี้ได้จึงถือเป็นบุคคลที่มีความสามารถหลากหลาย สามารถปรับตัวทำงานได้ทั้งในส่วน Front End และ Back End และพร้อมที่จะรับมือกับงานที่ทีมต้องการ
จากการสำรวจของ Stack Overflow ในปี 2020 ซึ่งสำรวจนักพัฒนากว่า 65,000 คนทั่วโลก พบว่า ประมาณ 54.9 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าตนเองเป็นนักพัฒนาฟูลสแต็ก และ 55.2 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ตอบแบบสอบถามระบุว่าตนเองเป็นนักพัฒนาส่วนหลัง (Back End Developer), 37.1 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าตนเองเป็นนักพัฒนาส่วนหน้า (Front End Developer), และมีเพียง 19.2 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าตนเองเป็นนักพัฒนาสำหรับมือถือ (Mobile Developer)
ภาพจาก : https://bootcamp.learn.utoronto.ca/blog/what-is-a-full-stack-developer/
นักพัฒนาฟูลสแต็กมีหน้าที่รับผิดชอบที่หลากหลายมากมาย พวกเขาต้องสร้างเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างภายในแข็งแรง และมีอินเทอร์เฟซที่ตอบสนองรวดเร็ว ใช้งานง่าย นักพัฒนาฟูลสแต็กจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการเขียนภาษา HTML, CSS, และ JavaScript รวมถึงเข้าใจเทคโนโลยีเบื้องหลัง และโครงสร้างของฐานข้อมูลอีกด้วย
ภาพจาก : https://www.web-development-institute.com/the-difference-between-html-css-and-javascript/
นักพัฒนาฟูลสแต็กมักทำงานกับโปรเจกต์ตั้งแต่การเริ่มต้นจนถึงขั้นของการเปิดตัว โดยใช้วิธีการพัฒนาแอปพลเคชัน หรือเว็บไซต์แบบมาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนของการพัฒนา ถูกจัดการอย่างเหมาะสม พวกเขาเริ่มจากการระดมความคิดร่วมกับทีมออกแบบกราฟิก และตรวจสอบต้นแบบก่อนแปลงให้เป็นโค้ด จากนั้นจึงจะสร้างฐานข้อมูล และเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับเนื้อหาที่ผู้ใช้เห็น และจะคอยประเมินการตอบสนองของแอปพลิเคชัน พร้อมแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ นักพัฒนาฟูลสแต็กที่ดีจะต้องติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม และเรียนรู้วิธีการใช้เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่สม่ำเสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของบริษัท
หน้าที่หลักประจำวันของนักพัฒนาฟูลสแต็กก็ได้แก่
อาชีพที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีติดอยู่ใน 10 อันดับแรก ในรายงาน LinkedIn สำหรับตลาดงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ว่าจะเป็น การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และ Software & Technology นักพัฒนาฟูลสแต็กไม่ได้จำกัดแค่ในวงการเทคโนโลยีเท่านั้น รายงานยังพบว่าภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการนักพัฒนาฟูลสแต็กมากที่สุด ได้แก่ ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์, เทคโนโลยีสารสนเทศ, อินเทอร์เน็ต, บริการทางการเงิน และการตลาดโฆษณา
ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะนักพัฒนาฟูลสแต็กมีประสบการณ์ที่กว้างขวางในแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่าง ๆ พวกเขาสามารถทำงานร่วมกับทีมพัฒนา Back End, Front End และทีมออกแบบได้อย่างราบรื่น ประกอบกับในยุคนี้เกือบทุกบริษัทจำเป็นต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มที่ต้งแสดงผลต่อผู้ใช้ และต้องมีระบบที่ช่วยในการโฆษณาสินค้า และบริการ, ดึงดูดลูกค้าใหม่ และยังต้องออกแบบให้ทำงานอัตโนมัติในงานประจำแต่ละวัน
นักพัฒนาฟูลสแต็กจำเป็นต้องมีทักษะทั้ง Front End และ Back End เพื่อพัฒนาเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันที่ครบถ้วนสมบูรณ์
ภาพจาก : https://bootcamp.cvn.columbia.edu/blog/how-to-become-computer-programmer-fast-without-degree/
การเรียนรู้ทักษะเหล่านี้สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเรียนระดับปริญญาตรีในสาขาคอมพิวเตอร์ ซึ่งให้ความรู้ทั้งทฤษฎี และปฏิบัติ นอกจากนี้การเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านคอร์สออนไลน์, หนังสือ และบทเรียนต่าง ๆ ก็เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน อีกทางเลือกคือ Coding Boot Camp ซึ่งเป็นหลักสูตรเข้มข้นที่ใช้เวลา 3 - 6 เดือน มุ่งเน้นทักษะที่ใช้งานจริง ช่วยสร้างผลงานในพอร์ตโฟลิโอ และสร้างความสัมพันธ์ในวงการเทคโนโลยี
ก่อนเลือกเส้นทางการศึกษา เราก็ตั้งคำถามให้กับตัวเองก่อน เช่น
ซึ่งเส้นทางการเรียนรู้แต่ละแบบ จะมอบทักษะที่จำเป็นสำหรับการเติบโตในสายงานนี้ ดังนั้นแล้วเราต้องเลือกทางที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด
นักพัฒนาฟูลสแต็ก คือผู้เชี่ยวชาญที่สามารถทำงานได้ทั้งในส่วน Front End และ Back End ของการพัฒนาแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ ด้วยความสามารถที่ครอบคลุมงานทั้งสองด้านนี้ ทำให้พวกเขามีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบที่ซับซ้อน และตอบโจทย์การใช้งานผู้ใช้ได้อย่างครอบคลุม
หากผู้อ่านมีความสนใจในงานด้านนี้ การเตรียมตัวเพื่อที่ะเป็นนักพัฒนาฟูลสแต็กก็อาจทำได้ผ่านหลายช่องทางตามความสะดวกของเรา ซึ่งแต่ละเส้นทางจะช่วยพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการเติบโตในสายงานนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
|