ปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนเป็นหนึ่งในเรื่องน่าเบื่อที่ยังคงกวนใจผู้ใช้อยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่คุณใช้ชีวิตอยู่นอกสถานที่ ซึ่งการเพิ่มความจุของแบตเตอรี่ให้มากขึ้นโดยที่ไม่ไปเพิ่มความหนาของตัวสมาร์ทโฟนยังเป็นอะไรที่ยังต้องพัฒนากันต่อไป ส่วนทางออกที่สามารถทำได้ในตอนนี้ คือ การพกพาวเวอร์แบงก์ติดตัวไปด้วย
อย่างไรก็ตาม บางครั้ง คุณอาจรู้สึกว่าแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนนั้นหมดไวกว่าที่มันควรจะเป็น ทั้งที่ไม่ได้ใช้งานหนักเลยแม้แต่น้อย สาเหตุเกิดจากอะไรได้บ้าง มาอ่านกัน
เริ่มต้นกันด้วยเหตุผลหลักที่มักตกเป็นจำเลยของการที่แบตเตอรี่หมดไว นั่นก็คือ ความสว่างของหน้าจอ
โดยปกติแล้วเมื่อใช้งานสมาร์ทโฟนในขณะที่อยู่กลางแจ้งที่มีแดดแรง ผู้ใช้มักจะเพิ่มความสว่างของหน้าจอเป็นระดับสูงสุด เพื่อให้สามารถมองเห็นข้อมูลบนหน้าจอแสดงผลได้อย่างชัดเจนมากขึ้น บางคนก็เลือกที่จะเปิดความสว่างหน้าจอระดับสูงเอาไว้เลย เพื่อความสะดวกต่อการใช้งาน ไม่ต้องมาเสียเวลามาปรับ เพิ่ม/ลด ความสว่างสลับไปสลับมา
อย่างไรก็ตาม ความสว่างหน้าจอนั้นต้องอาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่ค่อนข้างสูงมาก ยิ่งเราปรับจอให้สว่างมากเท่าไหร่ แบตเตอรี่ก็ยิ่งหมดไวเท่านั้น ดังนั้น หากเป็นไปได้ คุณควรปรับความสว่างของหน้าจอเอาไว้ที่ระดับต่ำสุดที่คุณสามารถรับได้ แต่ก็อย่าปรับมืดเกินไปจนต้องพยายามเพ่งเวลาใช้งานสมาร์ทล่ะ จะได้ไม่เสียสายตา
ในกรณีที่หน้าจอสมาร์ทโฟนของคุณใช้ เทคโนโลยีแบบ OLED การตั้งภาพพื้นหลังหน้าจอให้เป็นสีดำ หรือโทนมืด ก็จะช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้ด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติม : หน้าจอ CRT, DLP, Plasma, LCD, LED, VA, IPS, OLED, QLED คืออะไร ? และข้อดี ข้อเสีย แต่ละชนิด
แอปพื้นหลัง หรือ (Background Apps) เป็นรูปแบบหนึ่งในการทำงานของแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ซึ่งก็เป็นไปตามชื่อของมันนั่นแหละ คือ มันทำงานอยู่ตลอด แม้ว่าคุณจะไม่ได้กำลังใช้งานแอปพลิเคชันนั้นอยู่ก็ตาม ประโยชน์ในการมีอยู่ของมันก็เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้งานบางอย่าง หรือเฝ้าสังเกตเพื่อเก็บข้อมูลการใช้งาน โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่มย่ามกับแอปพลิเคชันด้วยตนเอง อย่างเช่น แอป VPN, แอป Anti-Virus, แอป Health ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ความสะดวกนี้ก็แลกมาด้วยการบริโภคพลังงานจากแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง
โดยปกติแล้ว เมื่อเราติดตั้งแอปพลิเคชันลงบนสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะระบบปฏิบัติการ iOS หรือระบบปฏิบัติการ Android คุณสมบัติแอปพื้นหลัง (Background Apps) จะถูกเปิดใช้งานเอาไว้อัตโนมัติ แนะนำว่าแอปพลิเคชันไหนที่ไม่ค่อยได้ใช้ ก็เข้าไปตั้งค่ายกเลิกคุณสมบัติแอปพื้นหลังเพื่อประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้
โหมด Split screen แบ่งหน้าจอเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชัน 2 ตัวพร้อมกัน หรือโหมด Picture-in-Picture ที่ช่วยให้คุณรับชมวิดีโอในระหว่างใช้งานแอปพลิเคชันอื่นไปด้วย เป็นคุณสมบัติที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การทำงานในลักษณะนี้จำเป็นต้องอาศัยการประมวลผลสูงกว่าปกติ เพราะต้องประมวลผลการทำงานของแอปพลิเคชันสองตัวพร้อมกัน จึงสิ้นเปลืองพลังงานแบตเตอรี่กว่าการทำงานเพียงทีละแอปพลิเคชัน
บางที การที่แบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนลดไว อาจไม่ได้มาจากการทำงานของแอปพลิเคชัน หรือการตั้งค่าที่ไม่เหมาะสม แต่มีสาเหตุมาจากตัวของแบตเตอรี่เองโดยตรงเลย
แบตเตอรี่เป็นสิ่งที่สามารถเสื่อมสภาพได้ โดยแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 500 Cycles หลังจากนั้นก็เริ่มมีสุขภาพแบตเตอรี่ลดต่ำลง ความจุสูงสุดที่สามารถเก็บประจุพลังงานไฟฟ้าได้จะน้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้เวลาที่คุณใช้งาน จะรู้สึกว่าแบตเตอรี่ลดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
ทางแก้ของปัญหานี้ มีแค่เพียง 2 วิธี เท่านั้น คือ เข้าศูนย์ไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ก้อนใหม่ หรือซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่มาใช้งานแทน
มีแอปพลิเคชันเป็นจำนวนมากที่ใช้คุณสมบัติติดตามตำแหน่ง (Location-Tracking) ในการทำงาน อย่างเช่น Google Maps, แอปพลิเคชันส่งของ (Delivery App) ต่าง ๆ, แอปพลิเคชันออกกำลังกาย เช่น วิ่ง หรือ ขี่จักรยาน เป็นต้น
โดยการทำงานของระบบ Location-Tracking นั้นจะใช้สัญญาณ GPS ที่รับจากดาวเทียมเพื่อระบุตำแหน่งปัจจุบัน พร้อมกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะมีการรับส่งข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ทำให้แบตเตอรี่ลดลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ การเปิดระบบ Location-Tracking ทิ้งไว้ ไม่ได้สิ้นเปลืองพลังงานแบตเตอรี่นะครับ แต่ถ้ามีแอปพลิเคชันใช้งานระบบ Location-Tracking เมื่อไหร่ แบตเตอรี่ถึงจะเริ่มลดอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เวลาใช้งานแอปพลิเคชันที่มี Location-Tracking จึงไม่ควรเปิดทิ้งไว้หากไม่จำเป็น
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |