เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดที่ยาวนาน ทำให้ส่งผลกระทบต่อเด็ก ๆ วัยเรียนที่ต้องอยู่บ้าน และเรียนออนไลน์ผ่านมือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ตามกันมา ซึ่งกลายเป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อความเชื่อในการเลี้ยงดูเด็กที่ว่า "เด็ก ๆ ไม่ควรอยู่กับหน้าจออุปกรณ์ไอทีเป็นเวลานาน เพราะจะส่งผลต่อพัฒนาการ พฤติกรรมและอื่น ๆ ไปตลอดชีวิต"
ผู้ปกครองที่กำลังกังวลว่า จะให้ลูกใช้มือถือ แท็บเล็ตของตัวเองดีไหม ควรซื้อมือถือให้ลูกหลานตอนช่วงอายุเท่าไหร่ดี จะซื้อให้ตอนเป็นนักศึกษาหรือเป็นผู้ใหญ่ก็กลัวเสียโอกาสทางการศึกษาและอื่น ๆ ทางไทยแวร์มีคำแนะนำดี ๆ มาฝากกัน
จากการสำรวจสถิติการใช้งานมือถือของ Commin Sense Media องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของสหรัฐอเมริกา พบว่า ในปี ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) เด็กอายุ 12 ปี มีมือถือเป็นของตัวเอง 69% เพิ่มขึ้นจาก 41% ในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) ในขณะที่เด็กอายุ 10 ปี มีมือถือเป็นของตัวเอง 36% เพิ่มขึ้นจาก 19% ในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558)
ส่วนทางฝั่งสหราชอาณาจักร ผลการศึกษาล่าสุดที่จัดทำโดย Childwise ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยกลุ่มเด็กและเยาวชน ระบุว่า เด็กอายุ 11 ปี มากถึง 90% มีมือถือ แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์ไอทีอื่น ๆ เป็นของตัวเอง และ 90% นี้จะกลายเป็น 100% เมื่อเด็ก ๆ ก้าวเข้าสู่ชั้นมัธยมศึกษา
จากสถิติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เด็ก ๆ จะได้เป็นเจ้าของมือถือเครื่องแรกในช่วงอายุ 9-14 ปี แต่ก็มีเด็กที่อายุก่อนหรือหลังจากช่วงวัยนี้เริ่มใช้มือถือเครื่องแรกแล้วเช่นกัน สังเกตได้จากกลุ่มเด็กอายุ 9-14 ปีที่ใช้มือถือ คิดเป็น 65.4% ของกลุ่มผู้ถูกสำรวจทั้งหมดเลยทีเดียว รองลงมาเป็นเด็ก 7-8 ขวบ, วัยรุ่นอายุ 15-16 ปี และเด็ก ๆ ตั้งแต่ 0-6 ขวบ
ภาพจาก : https://www.makeuseof.com/what-age-should-you-buy-your-child-a-smartphone/
ส่วนสถิติการใช้งานมือถือของเด็กไทย กองสถิติเศรษฐกิจ สำนักงานเศรษฐกิจแห่งชาติ ได้ทำการสำรวจมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือน ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) ได้ความว่า สถิติการใช้งานโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต และคอมพิวเตอร์ (รวมทั้งคอมพิวเตอร์ PC ตั้งโต๊ะ แล็ปท็อป และแท็บเล็ต) ของกลุ่มอายุ 6-14 ขวบ เปอร์เซ็นต์การใช้งานอินเทอร์เน็ต ต่ำกว่าเปอร์เซ็นต์การใช้งานโทรศัพท์มือถือเล็กน้อย และอัตราการใช้งานโทรศัพท์มือถือมากกว่าการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างเห็นได้ชัด
ภาพจาก : https://www.nso.go.th/sites/2014/DocLib13/ด้านICT/เทคโนโลยีในครัวเรือน/2563/Pocketbook63.pdf
และเมื่อแยกข้อมูลการใช้งานมือถือที่แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
จะเห็นว่า อัตราการใช้งานสมาร์ทโฟนสูงกว่าการใช้งานแบบอื่น ๆ ในทุกช่วงอายุ ยิ่งในกลุ่มอายุ 6-14 ขวบ มีผู้ใช้สมาร์ทโฟนมากถึง 96.8% เลยทีเดียว เรียกได้ว่าเด็กและเยาวชนไทยเข้าถึงมือถือและอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนมาก เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ถูกสำรวจในกลุ่มอายุ 6-14 ขวบ
นอกจากนี้ ทางกองสถิติเศรษฐกิจได้ให้รายละเอียดเพิ่มว่า สำหรับสถานที่ใช้อินเทอร์เน็ต พบว่า ส่วนใหญ่ใช้ที่บ้าน/ที่พักอาศัย 95.6% รองลงมาคือ ใช้ตามสถานที่ต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือ 89.6% และใช้ที่ทำงาน 33.1%
ส่วนกิจกรรมที่ใช้ส่วนใหญ่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook, Twitter, LINE, WhatsApp เป็นต้น 92.0%
รองลงมาคือ ใช้โทรศัพท์ผ่าน Internet (VoIP) เช่น โทรผ่าน LINE, Facebook, Facetime, WhatsApp เป็นต้น 90.9% และใช้ในการดาวน์โหลดหรือสตรีมมิงรูปภาพ/หนัง/วิดีโอ/เพลง/เกม เล่นเกม ดูหนัง 74.3%
ในขณะที่ความถี่ในการใช้อินเทอร์เน็ต พบว่า มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้ทุกวัน 89.3% รองลงมาใช้อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง 10.1%
ส่วนอุปกรณ์ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้โทรศัพท์มือถือแบบอัจฉริยะ หรือที่เราเรียกกันว่า "สมาร์ทโฟน (Smartphone)" ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตค่อนข้างสูงคือ 99.2% รองลงมาใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 27.2% และใช้คอมพิวเตอร์พกพา 12.5%
นอกจากความจำเป็นในการเรียนออนไลน์แล้ว ยังมีอีกหลายเหตุผลที่เด็ก ๆ ทั้งหลายต้องการมือถือ แม้ผู้ปกครองบางคนจะไม่เห็นด้วย แต่ขอให้ลองชั่งน้ำหนักเหตุผลเหล่านี้ดูก่อนว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะซื้อมือถือให้ลูกหลาน
แม้ผู้ปกครองบางคนจะซื้อมือถือให้ลูกใช้แล้ว แต่ก็ยังมีความกังวลบางอย่าง เช่น เด็ก ๆ จะไม่ระมัดระวังจนทำมือถือหาย หรือจะถูกรังแก ลักขโมยหรือไม่ ทางที่ดี หากลูกหลานต้องพกมือถือไปโรงเรียนด้วย ผู้ปกครองควรกำชับให้ดีว่าเก็บมือถืออย่างไร อาจกำหนดจุดปลอดภัยในกระเป๋านักเรียน และกำชับว่าอย่าบอกใครเด็ดขาด
แน่นอนว่าการให้เด็ก ๆ ใช้งานมือถือและอุปกรณ์ไอที ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่จะใช้งานแล้วเกิดข้อดีหรือข้อเสีย นั่นขึ้นอยู่กับการเอาใจใส่ การวางกฎเกณฑ์ของผู้ปกครองร่วมด้วย ฉะนั้น การใช้งานมือถือในกลุ่มเด็กเล็ก จึงต้องพึ่งพาการดูแลของผู้ปกครองเป็นส่วนสำคัญ
เมื่อผู้ปกครองตัดสินใจว่าจะซื้อมือถือให้ลูกหลานใช้งาน แต่เลือกไม่ถูกว่าจะเลือกมือถือรุ่นไหน แล้วต้องทำอะไรต่อหลังจากซื้อมือถืออีกไหม มาดูขั้นตอน สิ่งที่ควรทำเมื่อซื้อมือถือให้ลูกหลานวัยเด็กกัน
เพราะลูกหลานยังหาเงินซื้อมือถือเองไม่ได้ จึงเป็นค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองไปโดยปริยาย ซึ่งการใช้งานหลัก ๆ ก็หนีไม่พ้นการเรียนออนไลน์ผ่านระบบวิดีโอ (Video Conference) หรือไม่ก็ ดูยูทูป เล่นเกม แชทกับเพื่อนและคุณครู ฉะนั้น มือถือที่ควรซื้อ ควรจะมีราคาที่ไม่แพงมาก เช่น มือถือราคาไม่เกิน 5,000-8,000 บาท
หรือถ้าจะเล็งเป็นมือถือมือสองสภาพดีก็ได้ มือถือควรมีหน่วยความจำเพียงพอกับการใช้งานทั่วไป หากบ้านไหนที่ลูกหลานไม่ค่อยออกจากบ้าน อาจซื้อมือถือเพื่อมาเชื่อมต่อ Wi-Fi ที่บ้านก่อนก็ได้ จะได้ประหยัดค่าแพ็กเกจมือถืออีกทางหนึ่ง
แต่ถ้าลูกหลานไม่ได้เรียนออนไลน์ที่บ้าน หรือติดสอยห้อยตามผู้ปกครองมาที่ทำงานด้วย ก็ควรที่จะซื้อซิมการ์ดใส่มือถือไว้ และอย่าลืมเลือกแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตให้พอเหมาะพอดี จะเลือกเป็นแพ็กเกจรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือนก็ได้ ซึ่งเครือข่ายมือถือทุกค่ายมีโปรโมชันราคาประหยัดให้เลือกอยู่แล้ว
เพราะเด็ก ๆ บางคนอาจไม่ได้แค่ดูยูทูปเพียงอย่างเดียว แต่ยังเล่น LINE หรือ เล่น Facebook ไปจนถึงการพูดคุยกับเพื่อน ๆ ในเกมออนไลน์ ข้อนี้ไม่ได้แปลว่าให้ผู้ปกครองไปแอบเช็คมือถือลูกหลาน เพราะถ้าลูกหลานจับได้ อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ ทางที่ดีควรเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามลูกหลานว่ากำลังทำอะไร คุยกับใคร เป็นครั้งคราว หรือผู้ปกครองบางคนอาจสมัครบัญชี YouTube หรือ Facebook ให้น้อง ๆ ไปเลย ดูคลิปหรือตั้งสเตตัสอะไร สามารถเช็คได้จากประวัติการใช้งาน แต่ถ้าเจออะไรผิดสังเกตก็อย่าเพิ่งดุด่าว่ากล่าว พยายามซักถามด้วยความสุภาพและความเข้าใจ
ในมือถือส่วนใหญ่ มักจะมี โหมดสำหรับเด็กใช้งาน (Kids Mode) ที่จะสามารถเปลี่ยนได้ทั้งธีมสี หน้าจอผู้ใช้งาน (User Interface) ให้น่ารัก ใช้งานง่าย และ Kids Mode เหล่านี้มักจะมีเกม แอปพลิเคชันสำหรับเด็กมาให้โดยเฉพาะ หรือแม้แต่บางแพลตฟอร์ม เช่น YouTube หรือแม้แต่ Netflix ก็มีหมวดเนื้อหา Kids แยกโดยเฉพาะ หากลูกหลานของคุณยังอยู่ในวัยอนุบาลถึงประถมศึกษาตอนต้น (4-10 ขวบ) หมั่นใช้งาน Kids Mode ให้บ่อยจนน้อง ๆ เคยชินก็ได้
ภาพจาก : https://www.samsung.com/global/galaxy/apps/kids-mode/
เชื่อว่าบางครอบครัวน่าจะเคยเจอเหตุการณ์ลูกหลานเล่นเกม ซื้อไอเท็ม หรือกดมั่ว ๆ จนกลายเป็นการจ่ายเงินออนไลน์ให้เกมนั้น ๆ เป็นจำนวนมาก ถ้าไม่อยากพลาดหรือตกเป็นข่าว ขอแนะนำว่า ให้ตั้งรหัสผ่านก่อนดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะแอปฟรีหรือเสียเงินก็ตาม และอย่าให้เด็ก ๆ รู้เด็ดขาด ถ้าเด็ก ๆ ต้องการซื้อเกมหรือไอเท็มในแอป ต้องผ่านการอนุญาตจากผู้ปกครองก่อนเท่านั้น
ซึ่งอุปกรณ์ iOS ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad และ iPod Touch แอปเปิลมีวิธีสร้างความปลอดภัยมากมาย ทั้งวิธีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว, การตั้งค่ารหัสผ่านก่อนดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน, การป้องกันเนื้อหาจากเว็บไซต์บางเว็บ ฯลฯ เรียกได้ว่าป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ เข้าถึงเนื้อหาหรือการกระทำที่อันตรายได้เยอะจริง ๆ
ข้อมูลเพิ่มเติม : วิธีใช้งาน Parental Control (การควบคุมโดยผู้ปกครอง) บน iPad และควบคุมด้วย iPhone
ทางฝั่ง Android ก็มีวิธีสร้างความปลอดภัยเยอะไม่แพ้กัน จะตั้งค่าบัญชีครอบครัวสำหรับควบคุมบัญชีของเด็ก ๆ ก็ได้ ตั้งรหัสผ่านก่อนซื้อแอปพลิเคชันก็มี หรือหมวดหมู่แอปพลิเคชัน เกมสำหรับเด็กก็มีให้เลือกสรร เรียกได้ว่าเล่นแล้วได้ทั้งทักษะใหม่ ๆ และความเพลิดเพลินไปพร้อมกัน
ภาพจาก : https://play.google.com/store/apps/category/FAMILY?hl=en_US&gl=US
แม้ว่าทักษะการดำรงชีวิตของเด็ก ๆ อาจยังไม่มากพอ แต่เมื่อเด็ก ๆ เจอเหตุการณ์อันตรายใด ๆ จะต้องสามารถติดต่อผู้ปกครองได้รวดเร็วที่สุด เช่น ตั้งค่าเบอร์โทรด่วน, สร้างไอคอน LINE เข้าสู่หน้าต่างแชทของผู้ปกครองทันที หรือจะเปิดฟีเจอร์ SOS ของมือถือก็ได้เช่นกัน
ข้อมูลเพิ่มเติม : วิธีเปิดใช้งาน Emergency SOS โทรออกฉุกเฉิน บนมือถือ iPhone และมือถือ Android
การดำเนินชีวิตในสังคมต้องมีมารยาทฉันใด การให้เด็ก ๆ สื่อสารบนโลกออนไลน์ก็ต้องมีมารยาทฉันนั้น บางครั้งเด็ก ๆ อาจซึมซับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจากสื่อต่าง ๆ กลุ่มเพื่อน หรือแม้แต่รายการออนไลน์บางรายการ ผู้ปกครองก็ต้องคอยอบรมว่าพฤติกรรมแบบนี้ควรทำ ไม่ควรทำ หรือเลือกทำเฉพาะกับใครบ้าง แต่ผู้ปกครองไม่ต้องเครียด เพราะการขัดเกลามารยาทจะต้องค่อยเป็นค่อยไป เมื่อเด็ก ๆ เข้าใจ ก็จะมีมารยาท ประพฤติงามโดยอัตโนมัติ
จะเห็นได้ว่า การให้เด็ก ๆ ใช้มือถือ แม้จะมีประโยชน์ในหลายด้าน แต่ก็มีเรื่องที่ต้องกังวลไม่น้อยเลย ในความเป็นจริง เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ได้ใช้งานมือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ ตั้งแต่อายุ 9 ขวบหรือน้อยกว่านั้น หากน้อง ๆ ยังต้องเรียนออนไลน์ในขณะนี้ ผู้ปกครองก็สามารถซื้อมือถือหรือคอมพิวเตอร์ประจำตัวน้อง ๆ ได้เลย พร้อมกำหนดกฎเกณฑ์ในการใช้งานให้เหมาะสม
เพราะช่วงอายุ 9-14 ขวบ ยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครอง จึงควรมีกฎในการใช้งานมือถืออย่างเคร่งครัด เช่น เล่นมือถือได้จนกว่าเข็มยาวนาฬิกาจะถึงเลขอะไร, จำกัดเวลาให้ดูยูทูป เล่นเกม ภายในเวลากี่นาที (ไม่ควรเกิน 1-2 ชั่วโมง) หากไม่หยุดเล่นตามเวลาที่กำหนด จะโดนลงโทษอะไรบ้าง เช่น หักเวลาในการเล่นรอบต่อไป เป็นต้น หรือเวลาที่ลูก ๆ กำลังผ่อนคลาย ผู้ปกครองอาจเข้าไปชวนคุย ชวนเล่นแบบไม่จับผิด เพื่อดึงความสนใจจากหน้าจอมายังผู้คน
ภาพจาก : https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Pexels-photo-2181423.jpg
ส่วนการเรียนออนไลน์ ผู้ปกครองควรให้น้อง ๆ ได้อยู่กับหน้าจอแบบเต็มที่ แต่ถ้าน้อง ๆ เกิดเบื่อการเรียนขึ้นมา ก็ควรมีแผนสำรองไว้ เช่น ปรึกษาผู้ปกครองท่านอื่น ตามงานกับคุณครู ช่วยกันทำการบ้านเพื่อส่งงานให้ทันเวลา หรือบางโรงเรียนที่ไม่อยากให้นักเรียนติดจอ ก็ใช้วิธีจัดการเรียนการสอนผ่านผู้ปกครองแทน ให้ใบงานเป็นการบ้าน และแนะนำผู้ปกครองว่าควรแนะนำลูกหลานอย่างไร ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ผู้ปกครองควรตัดสินว่าเมื่อใดที่ลูกหลานต้องการมือถือ เพราะบางคนก็มีมือถือของตัวเองเพราะเหตุจำเป็นด้านการเรียน แต่นั่นก็ต้องดูปฏิกิริยาตอบสนองของเด็ก ๆ ด้วยว่า อยากได้มือถือมากน้อยแค่ไหน แล้วถ้าผู้ปกครองจำกัดเวลาการใช้งาน เด็ก ๆ จะยอมรับได้หรือต่อต้าน ? เชื่อว่าผู้ปกครองทุกคนล้วนมีคำตอบและกฎเกณฑ์ที่มีต่อลูกหลานในใจอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะปฏิบัติได้จริงหรือไม่
|
Web Content Editor ท่านหนึ่ง นิยมการเล่นมือถือเป็นชีวิตจิตใจ |