ดาวน์โหลดโปรแกรมฟรี
       
   สมัครสมาชิก   เข้าสู่ระบบ
THAIWARE.COM | ทิปส์ไอที
 

ซื้อ Printer แบบไหนดี สำหรับใช้ในบ้าน ? มาดูแนวทางกัน

ซื้อ Printer แบบไหนดี สำหรับใช้ในบ้าน ? มาดูแนวทางกัน
ภาพจาก : https://www.freepik.com/free-vector/printing-invoices-concept-illustration_11906559.htm
เมื่อ :
|  ผู้เข้าชม : 6,151
เขียนโดย :
0 %E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD+Printer+%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5+%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99+%3F+%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99
A- A+
แชร์หน้าเว็บนี้ :

แนวทางการเลือกซื้อเครื่องพรินเตอร์มาใช้ภายในบ้าน

เครื่องพิมพ์ หรือ พรินเตอร์ (Printer) จัดว่าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่ง ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามออฟฟิศ สำนักงาน ทั้งในรูปแบบของ บริษัท, องค์กร, หน่วยงาน หรือแม้แต่ สถาบันการศึกษา (โรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัย)

บทความเกี่ยวกับ Printer อื่นๆ

แต่ในขณะเดียวกัน ความนิยมของการซื้อมันมาใช้ภายในบ้านก็เพิ่มสูงขึ้น อาจด้วยเทรนด์การทำงานที่บ้าน หรือ Work from Home (WFH) ที่กำลังมาแรง ทำให้ความต้องการ Printer มาใช้งานภายในบ้านสูงขึ้น

ในบทความนี้ เราก็จะอยากจะมานำเสนอแนวทางการเลือกซื้อเครื่องพรินเตอร์ให้ถูกใจ เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด จะมีประเด็นอะไรที่ต้องพิจารณาบ้าง มาอ่านกัน

ซื้อ Printer แบบไหนดี สำหรับใช้ในบ้าน ? มาดูแนวทางกัน
ภาพจาก : https://flic.kr/p/2mhcTqo

เนื้อหาภายในบทความ

 

พรินเตอร์อิงค์เจ็ท หรือพรินเตอร์เลเซอร์

คำถามแรกที่ควรจะถามตัวเองก่อนเลย คือ จะซื้อเครื่อง เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท (Ink-Jet Printer) หรือว่าเครื่องเครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer) ซึ่งการจะตอบคำถามนี้ได้ ก็ต้องพิจารณาว่าคุณต้องการพิมพ์งานคุณภาพระดับไหน และจำนวนงานที่ต้องการพิมพ์

โดย Ink-Jet Printer จะใช้ตลับน้ำหมึก (Cartridge) ที่จะพ่นน้ำหมึกแบบแห้งเร็วลงบนแผ่นกระดาษ ในขณะที่ c จะใช้ตลับผงหมึก (Toner) พ่นผงหมึกลงไปกระดาษ ซึ่งหากเทียบกันแล้ว ความเร็วในการของ Laser Printer จะสูงกว่าพอสมควร และต้นทุนในการพิมพ์ต่อแผ่นถูกกว่า หากอ่านแค่นี้ Laser Printer จะดูมีภาษีกว่า แต่อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจไป มันมีด้านอื่นที่ควรพิจารณาเพิ่มด้วย

Ink-Jet Printer กล่าวได้ว่าเป็นเครื่องพรินเตอร์ประเภทที่มีตัวเลือกมากที่สุดในท้องตลาด เนื่องจากมีราคาเริ่มต้นที่ไม่แพง และมีความสามารถในการพิมพ์ลงบนกระดาษได้หลากหลายชนิด อีกทั้ง ปัจจุบันนี้ มีเครื่องอิงค์เจ็ทแบบมัลติฟังก์ชัน ที่รวมเอาเครื่องสแกนเนอร์ และเครื่องถ่ายเอกสารเข้าไว้ด้วยกัน ให้เลือกซื้อมาใช้อยู่มากมาย ในส่วนของความเร็วในการพิมพ์ ก็รวดเร็วไม่แพ้เครื่องพรินเตอร์แบบเลเซอร์ หรือใกล้เคียงกัน

มาพิจารณาทางด้าน Laser Printer บ้าง โดยจุดแข็งสำคัญของมันนั้น คือความเร็วในการพิมพ์ที่สูงมาก แต่พรินเตอร์แบบเลเซอร์จะแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบขาวดำ และแบบสี ซึ่ง Laser Printer แบบขาวดำ จะมีต้นทุนในการพิมพ์ต่อแผ่นที่ต่ำมาก แต่สำหรับ Laser Printer แบบสีจะมีต้นทุนต่อการพิมพ์ที่ค่อนข้างสูงกว่า Ink-Jet Printer

ทางด้านของหมึก ซึ่งเป็นสินค้าสิ้นเปลืองที่ทางผู้ใช้ต้องเปลี่ยนเป็นระยะ สำหรับ Laser Printer หมึกตลับหนึ่งจะพิมพ์ได้เฉลี่ยประมาณ 3,000-20,000 แผ่น ส่วน Ink-Jet Printer จะพิมพ์ได้เฉลี่ยประมาณ 2,000-2,500 แผ่น ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้ หากคุณไม่ใช่คนที่พิมพ์งานเป็นประจำอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจมากนัก

แต่ในกรณีถ้าหากต้องพิมพ์งานเป็นจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายตรงนี้ก็จะแตกต่างกันมาก อันนี้ก็ต้องพิจารณาดูว่างานที่คุณต้องการพิมพ์เป็นลักษณะไหน เช่น อยากได้มาพิมพ์รูปเป็นหลัก, พิมพ์เอกสารบ้าง เดือนละไม่กี่สิบแผ่น แบบนี้พรินเตอร์อิงค์เจ็ทก็เหมาะสมกว่า แต่หากพิมพ์เอกสารออกมาเดือนละเป็นพันแผ่น Laser Printer ก็น่าจะต้อบโจทย์กว่าทั้งความเร็ว และต้นทุนการพิมพ์

Multi-Function Printer (พรินเตอร์แบบแบบทำได้หลายอย่าง)

ประเด็นถัดมาที่ควรพิจารณาคือ จะซื้อพรินเตอร์ธรรมดา หรือพรินเตอร์แบบมัลติฟังก์ชันมาใช้งาน ?

พรินเตอร์แบบมัลติฟังก์ชัน (Multi-Function Printer หรือ MFP) คือพรินเตอร์ที่มีความสามารถในการทำงานหลายอย่าง นอกเหนือไปจากแค่การพิมพ์เพียงอย่างเดียว โดยส่วนใหญ่ก็จะรวมเอาความสามารถในการสแกน, ถ่ายเอกสาร และส่งแฟกซ์ ทั้งหมดนี้เอาไว้ภายในเครื่องเดียว บางครั้งก็เลยเรียกกันว่าพรินเตอร์แบบ All-in-ones

สำรหรับผู้ใช้ตามบ้าน การเลือกซื้อเครื่องพรินเตอร์แบบมัลติฟังก์ชันเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะราคาจะถูกกว่าการแยกซื้ออุปกรณ์ทีละชิ้น โดยมักจะมีราคาแพงกว่าพรินเตอร์แบบธรรมดาแค่ไม่กี่บาท และยังได้เรื่องการประหยัดพื้นที่ในการจัดวางด้วย ดังนั้นโดยส่วนตัวผู้เขียนแล้ว การเลือกซื้อพรินเตอร์แบบมัลติฟังก์ชันมาใช้งานในบ้านจึงเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างน่าสนใจ

แต่ถ้าคุณมั่นใจว่า จะไม่ได้สแกน, ถ่ายเอกสาร หรือส่งแฟกซ์แน่ ๆ ก็อาจจะเลือกพรินเตอร์ธรรมดา ที่จะช่วยประหยัดเงินไปได้นิดหน่อย

ต้องการพิมพ์รูปภาพเป็นหลักหรือเปล่า ?

หากคุณต้องการพรินเตอร์มาใช้ในการพิมพ์รูปถ่ายโดยเฉพาะ แนะนำว่าควรเลือกซื้อพรินเตอร์ที่ออกแบบมาสำหรับพิมพ์รูปถ่ายโดยเฉพาะ (Photo Printer) โดยพรินเตอร์ชนิดนี้มักจะไม่มีคุณสมบัติในการทำงานแบบมัลติฟังก์ชัน แต่จะเน้นไปที่คุณภาพในการพิมพ์เป็นหลัก สามารถพิมพ์งานที่ความละเอียดสูงกว่าพรินเตอร์ทั่วไป มีลูกเล่นในการพิมพ์แบบไร้ขอบ

ซื้อ Printer แบบไหนดี สำหรับใช้ในบ้าน ? มาดูแนวทางกัน
ภาพจาก : https://www.canon.co.uk/printers/inkjet/pro-photo-printers/imageprograf-pro-1000/

อย่างไรก็ตาม การเลือก Photo printer มาใช้งาน ต้องคำนึงถึงขนาดของรูปที่สามารถพิมพ์ออกมาได้ด้วย โดยพรินเตอร์แต่ละรุ่นก็จะรองรับการพิมพ์รูปถ่ายที่ขนาดแตกต่างกัน ก็เลือกตามความต้องการของผู้ใช้งาน

ความเร็ว, ความละเอียด และอัตราการสิ้นเปลือง

ในอดีต เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ผลิตพรินเตอร์จะเคลมว่าพรินเตอร์ของตนนั้น พิมพ์ได้เร็ว หรือประหยัดหมึกมากกว่าความจริงที่พรินเตอร์สามารถทำได้ แต่ในปัจจุบันนี้ การวัดความเร็วในการพิมพ์ และอัตราการสิ้นเปลืองมีมาตรฐานที่รัดกุมมากขึ้น

โดยทางผู้ผลิตพรินเตอร์ส่วนใหญ่เกือบทุกรายจะใช้การทดสอบที่ถูกกำหนดโดย International Organization for Standardization (ISO) ซึ่งจะใช้รูปแบบเอกสารประเภทเดียวกัน และการตั้งค่าในการพิมพ์ที่เหมือนกันในการทดสอบ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีความน่าเชื่อถือ

และสำหรับคุณสมบัติสำคัญของพรินเตอร์ ที่เราควรพิจารณาจะประกอบไปด้วย

ค่า PPM

PPM ย่อมาจากคำว่า "Pages per Minute" (หน้าต่อนาที) ค่านี้จะบ่งบอกถึงความเร็วในการพิมพ์ของพรินเตอร์ แต่มันก็มีเรื่องที่ต้องสังเกตอยู่อีกสักเล็กน้อย คือโดยปกติแล้ว พรินเตอร์จะมีค่า PPM ในการพิมพ์แบบขาวดำ และแบบสีที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในพรินเตอร์ที่ให้ความสำคัญกับการพิมพ์สีเป็นหลัก

ซื้อ Printer แบบไหนดี สำหรับใช้ในบ้าน ? มาดูแนวทางกัน
ภาพจาก : https://giphy.com/gifs/producthunt-printer-printing-d3mlEESlKZRSzvj2

โดยเฉลี่ยในพรินเตอร์ทั่วไป จะสามารถพิมพ์ขาวดำที่ประมาณ 15-20 PPM และพิมพ์สีที่ประมาณ 10-15 PPM อย่างไรก็ตาม สำหรับการใช้งานภายในบ้านที่เราไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน ก็สามารถมองข้ามเรื่องค่า PPM ไปเลยก็ได้นะ

ค่า DPI

โดยคำว่า DPI ย่อมาจากคำว่า "Dots per Inch" มันหมายถึงจำนวนจุดหมึกที่พรินเตอร์สามารถพ่นลงบนกระดาษในขนาดพื้นที่ 1 ตารางนิ้ว ยิ่งค่า DPI สูงเท่าไหร่ ความละเอียดในการพิมพ์ก็จะยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ มึการพัฒนาเทคโนโลยี และซอฟต์แวร์ที่สามารถช่วยให้การพิมพ์รูปดูมีความละเอียดสูงโดยไม่ต้องเพิ่มค่า DPI ดังนั้น หากไม่ใช่สายพิมพ์รูปจริงจัง ก็อาจไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับค่า DPI ของพรินเตอร์มากนักก็ได้

ความละเอียดของรูปภาพ (Dots per Inch)
ภาพจาก : https://www.en.relenado.com/2015/04/what-is-dpi-in-printer.html

ค่า Duty Cycle

ค่านี้เป็นค่าคาดการณ์จำนวนงานทั้งหมด ที่เครื่องพรินเตอร์ จะสามารถพิมพ์ได้ในช่วงระยะเวลา 1 เดือน ซึ่งในการเลือกพรินเตอร์ ควรเลือกรุ่นที่มี "ค่า Duty Cycle" สูงกว่าจำนวนงานที่คุณต้องการ เพื่อให้พรินเตอร์ไม่ต้องถูกใช้งานหนักเกินสมรรถนะของมัน ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานของพรินเตอร์ไม่ให้เสีย หรือเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควรจะเป็น

แต่สำหรับการใช้งานภายในบ้าน ที่ใช้งานเพียงลำพัง หรือแค่ไม่กี่คน ก็ยากที่จะพิมพ์งานจนจำนวนเกินค่า Duty Cycle ดังนั้น การเลือกซื้อพรินเตอร์มาใช้ในบ้านจึงไม่ต้องสนใจค่านี้มากนักก็ได้

การเชื่อมต่อของพรินเตอร์ (Printer Connection)

ปัจจุบันนี้ พรินเตอร์รองรับการเชื่อมต่อได้หลากหลายช่องทางมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่จะรองรับแค่พอร์ต USB เพียงอย่างเดียว มาอ่านกันหน่อยดีกว่า ว่าพรินเตอร์สมัยนี้รองรับการเชื่อมต่อทางใดได้บ้าง

USB

พอร์ต USB เป็นพอร์ตเชื่อมต่อมาตรฐาน กล่าวได้ว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในบ้านเกือบทุกชนิด เชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB เป็นหลัก พรินเตอร์บางรุ่นไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อจะพิมพ์ แต่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับฮาร์ดดิสก์ หรือกล้องถ่ายรูปดิจิทัลเพื่อพิมพ์รูปได้โดยตรงผ่านมาตรฐาน PictBridge ที่พัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) โดยองค์กร Camera & Imaging Product Association

ข้อมูลเพิ่มเติม : พอร์ต USB สีแดง สีเขียว สีฟ้า สีเหลือง สีดำ แตกต่างกันอย่างไร ?

Ethernet

พรินเตอร์บางรุ่นจะมีพอร์ต Ethernet ให้ใช้งานด้วย โดยจะใช้ในการเชื่อมต่อพรินเตอร์เข้ากับระบบอินเทอร์เน็ตผ่านสาย LAN อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ใช้ตามบ้านแล้ว หาโอกาสใช้ยากมาก ที่จะต้องต่อสาย LAN เพราะก็มี Wi-Fi ให้ใช้งานกันอยู่แล้ว มักจะนิยมใช้กันในสำนักงานบางประเภทที่ต้องใช้สาย LAN ในการเชื่อมต่อเท่านั้น

Wi-Fi

ในอดีตพรินเตอร์ที่รองรับ Wi-Fi จะจำกัดอยู่ในพรินเตอร์ระดับสูงที่มีราคาแพง แต่ในปัจจุบันนี้ มันแทบจะเป็นการเชื่อมต่อพื้นฐานของพรินเตอร์รองจาก พอร์ต USB ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

การที่พรินเตอร์รองรับ Wi-Fi จะช่วยอำนวยความสะดวกในการสั่งพิมพ์งานมากพอสมควร คอมพิวเตอร์, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์ใด ๆ จะสามารถสั่งพิมพ์ไปยังพรินเตอร์ได้แบบไร้สาย หรือแม้แต่การสั่งพิมพ์ผ่านระบบออนไลน์จากบ้านไปยังที่ทำงานก็สามารถทำได้เช่นกัน

Wi-Fi Direct

Wi-Fi Direct เป็นการเชื่อมต่อไร้สายระหว่างอุปกรณ์แบบ Peer-to-peer โดยไม่ต้องอาศัยเครือข่าย Wi-Fi โดยพรินเตอร์จะทำหน้าที่เป็น Hotspot ให้อุปกรณ์สามารถเชื่อมต่อกับพรินเตอร์ได้โดยตรงเลย

NFC

NFC ย่อมาจากคำว่า Near-Field Communication เป็นคุณสมบัติที่ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างพรินเตอร์ กับสมาร์ทโฟนได้ด้วยการนำมาแตะกันในบริเวณที่กำหนด เพื่อสั่งพิมพ์งานที่ต้องการได้

Cloud Printing

คุณสมบัติ Cloud Printing พรินเตอร์รุ่นใหม่ ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มพรินเตอร์แบบมัลติฟังก์ชัน เริ่มมีการใส่คุณสมบัติในการพิมพ์ข้อมูลที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตอย่าง Facebook, Flickr, Dropbox หรือ Google Drive ได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม การจะใช้คุณสมบัตินี้ได้ พรินเตอร์จะต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตด้วยนะ

SD Card

SD Card เป็นหน่วยความจำที่นิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลายในสมาร์ทโฟน และกล้องถ่ายรูป พรินเตอร์บางรุ่นก็เลยใส่ช่องอ่าน SD cards มาให้เลย เพื่อให้สั่งพิมพ์รูปจากการ์ดได้อย่างรวดเร็ว

การพิมพ์สองด้าน (Double-Sided Printing)

การพิมพ์สองด้าน (Double-Sided Printing) หรือว่า "โหมด Duplex" หมายถึงการพิมพ์ หรือสแกน ข้อมูลในกระดาษทั้งสองด้าน (หน้า-หลัง) แบบอัตโนมัติ โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสอด หรือพลิกกระดาษเป็นอีกด้านด้วยตนเอง ให้เสียเวลา

โดยคุณสมบัตินี้ช่วยอำนวยความสะดวกในการพิมพ์งานได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณรู้ว่าต้องพิมพ์งานในลักษณะดังกล่าวบ่อย ๆ

ซื้อ Printer แบบไหนดี สำหรับใช้ในบ้าน ? มาดูแนวทางกัน
ภาพจาก : https://themicro3d.com/what-is-duplex-printing/

การจัดการกระดาษ (Paper Management)

ว่าด้วยเรื่องของกระดาษ มีอยู่ 2 ปัจจัย ที่เราควรนำมาพิจารณาด้วยในตอนที่ซื้อพรินเตอร์

โดยพรินเตอร์ส่วนใหญ่จะรองรับการพิมพ์กระดาษขนาดซองจดหมาย ไปจนถึงกระดาษขนาด A4 แต่หากคุณต้องการพิมพ์งานที่ไซส์ใหญ่ หรือเล็กกว่านั้น ก็ต้องตรวจสอบสเปกให้ดี ว่ามันรองรับขนาดที่คุณต้องการหรือไม่ ?

อีกจุดหนึ่งก็คือ ช่องเก็บกระดาษ หากคุณพิมพ์งานทีละหลายสิบแผ่น หรือหลักร้อยแผ่น ควรเลือกพรินเตอร์ที่มีช่องเก็บกระดาษขนาดใหญ่ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการเติมกระดาษบ่อย ๆ


หวังว่าหลังจากที่อ่านบทความนี้จบแล้ว คุณผู้อ่านจะสามารถเลือกซื้อเครื่องพรินเตอร์ที่ถูกใจได้ง่ายขึ้นนะ


ที่มา : www.digitaltrends.com

0 %E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD+Printer+%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5+%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99+%3F+%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99
แชร์หน้าเว็บนี้ :
Keyword คำสำคัญ »
เขียนโดย
ระดับผู้ใช้ : Admin    Thaiware
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ
 
 
 

ทิปส์ไอทีที่เกี่ยวข้อง

 


 

แสดงความคิดเห็น