ราคาของตลับหมึกแท้ (Genuine Ink Cartridge Prices) เป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าจะมีคนสงสัยอยู่พอสมควร (ตัวผู้เขียนเองก็สงสัยเหมือนกัน) ว่าทำไมมันถึงแพงเหลือเกิน เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทในปัจจุบันนี้ ราคาเริ่มต้นก็ประมาณ 3,xxx บาท มีตลับหมึกใส่มาให้ตั้งแต่ต้น คุณอาจจะแปลกใจ หากรู้ว่าตลับหมึกที่ผู้ผลิตให้มาพร้อมกับตัวเครื่อง พอใช้งานหมดจนถึงเวลาเปลี่ยน คุณอาจต้องจ่ายเงิน 1,xxx-1,5xx บาท เป็นมูลค่าที่เกือบครึ่งหนึ่งของราคาเครื่องพิมพ์เลยทีเดียว
เรื่องหมึกแพงนี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่คุณคิดไปเอง สามารถกล่าวได้เลยว่าหมึกของเครื่องพิมพ์นั้นเป็นของเหลวที่มีราคาแพงในลำดับต้น ๆ เลยล่ะ ที่ปริมาตรเท่ากันมันแพงยิ่งกว่าน้ำหอมบางยี่ห้อ หรือเลือดของมนุษย์เสียอีก
ในความเป็นจริง มันย่อมมีเหตุผลที่ทำให้หมึกมีราคาแพง Rich Sulin ซึ่งเป็นผู้ดูแลโครงการทดสอบเครื่องพิมพ์แห่ง Consumer Reports เคยอธิบายเอาไว้ว่า
คนส่วนใหญ่มองข้ามวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมที่อยู่เบื้องหลังการพิมพ์ จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจว่าทำไมผู้บริโภคมองว่าตลับหมึกอันเล็กนิดเดียว เป็นของราคาแพง
ในบทความนี้ เราจึงมาอธิบายเหตุผลว่า ทำไม "หมึก" ของเครื่องพิมพ์ มีราคาแพง ?
อ้างอิงจากหลักฐานทางโบราณคดี มนุษยชาติได้คิดค้นหมึกมานานกว่า 73,000 ปี จากหมึกที่เขียนบนผนังถ้ำที่ทำจากเลือดสัตว์ สู่สารเคมีสังเคราะห์ที่ใช้ในปากกา มาจนถึงหมึกของเครื่องพิมพ์ ในยุคแรก ๆ หมุกของเครื่องพิมพ์จะผลิตมาจากสีผสมอาหารที่เจอจางด้วยน้ำ ซึ่งหมึกที่ถูกพิมพ์ออกมาจะ จะสีจางลงไปเมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน
กว่าจะมาเป็นหมึกอย่างที่เราใช้งานกันอย่างในปัจจุบันนี้ บริษัทที่ผลิตเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท อย่าง Epson, HP, Canon ฯลฯ ต่างก็ต้องทุ่มงบประมาณเพื่อวิจัย และพัฒนา หมึกที่มีคุณภาพสูง ให้สีสันสดใส สามารถพิมพ์ภาพถ่ายได้สวยงามอย่างที่ทุกคนต้องการ
หมึกของเครื่องพิมพ์ในยุคปัจจุบัน ถูกพิมพ์ออกมาด้วยความละเอียดหลายพันจุดต่อตารางนิ้วภายในเวลา 1 วินาที, จากแม่สีหลัก 4 สี มันถูกผสมเพื่อสร้างสีใหม่ ๆ ได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ตัวหมึกยังต้องมีคุณสมบัติที่แห้งไว้ กันน้ำ และไม่ทำให้เนื้อเยื่อกระดาษเกิดอาการม้วนงอ รวมไปถึงไม่แห้งกรังง่าย ๆ จนอุดตันหัวพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ด้วย
Thom Brown ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ HP เคยให้สัมภาษณ์กับทาง ComputerWorld เอาไว้ว่า
หมึกของเครื่องพรินเตอร์จะต้องทนความร้อนสูงระดับ 300 องศาเซลเซียสได้ โดยที่ไม่เกิดการระเหย และไม่เกิดการแยกตัวของเม็ดสีออกจากของเหลวในขณะที่ถูกฉีดด้วยความเร็ว 48.28 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่อัตรา 36,000 หยดต่อวินาที ผ่านหัวฉีดที่มีความกว้างขนาดเพียง 1 ใน 3 ของเส้นผมมนุษย์ และต้องแห้งเกือบสนิทในทันทีที่มันสัมผัสกับกระดาษ
การจะพัฒนาน้ำหมึกให้ได้คุณสมบัติอย่างที่ว่ามานี้ แน่นอนว่าจะต้องมีการวิจัย และพัฒนา ซึ่งต้องใช้งบประมาณอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าหมึกมีราคาสูงขึ้น
การผสมสีของเครื่องพิมพ์
ภาพจาก : https://letsmakeart.weebly.com/2d-assignments-for-all/how-does-color-printing-work
โดยเครื่องพิมพ์ส่วนใหญ่ตั้งราคามาถูกกว่าราคาจริง หรือไม่ก็เป็นราคาที่ผู้ผลิตแทบจะไม่ได้กำไรจากมันเลย การที่ผู้ผลิตยอมขายขาดทุน ก็เพราะเขามองว่ามันเป็นสินค้าที่ผู้ใช้จะต้องซื้อหมึกเติมในระยะยาว จึงใช้กลยุทธ์ลดราคาค่าเครื่องพิมพ์ แล้วไปหวังเอากำไรคืนจากค่าหมึกที่เป็นสินค้าสิ้นเปลืองแทน
อย่างเช่น เครื่องพิมพ์ HP Envy 42520 ที่มีราคา $99 (ประมาณ 3,320 บาท) ทางผู้เชี่ยวชาญได้ทำการแกะ และวิเคราะห์ราคาต้นทุนการผลิตจากชิ้นส่วนที่มีพบว่าต้นทุนการผลิตน่าจะอยู่ที่อย่างน้อย $120 (ประมาณ 4,025 บาท) โดยราคานี้ยังไม่รวมค่าการวิจัยล, การทดสอบผลิตภัณฑ์ และการขนส่ง
กลยุทธ์นี้ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเรื่องใหม่แต่อย่างใด วงการเครื่องเกมคอนโซลก็ใช้แนวทางนี้เช่นกัน เพื่อกระตุ้นยอดขายเครื่องเกมให้มากที่สุด แล้วไปกำไรคืนจากแผ่นเกม และอุปกรณ์เสริมแทน คาดการณ์กันว่า Xbox Series X นั้น ขายราคาต่ำกว่าต้นทุนถึง $200 (ประมาณ 6,710 บาท) เลยทีเดียว
นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทางผู้ผลิตพยายามทำทุกวิถีทางที่จะป้องกันไม่ให้ผู้ใช้งานสามารถ ซื้อหมึกเถื่อน หมึกทางเลือกจาก บุคคลที่สาม (3rd-Party) มาใช้แทนได้ เพราะหากเป็นแบบนั้น เขาจะไม่ได้ค่าต้นทุนเครื่องกลับคืนมา โดยส่วนใหญ่ก็จะมีการฝังชิปเอาไว้ในตลับหมึกด้วย
ภาพจาก : https://cash4toners.com/how-to-reset-ink-cartridge/
แม้ผู้ผลิตเครื่องพิมพ์จะมีความพยายามป้องกันที่จะไม่ให้ผู้ใช้สามารถใช้หมึกเถื่อนได้ง่าย ๆ แต่ก็อย่างที่เราทราบกันดีว่า มันก็เป็นความพยายามที่ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่นัก มีทั้งตลับหมึกเถื่อนออกมา มีระบบแทงก์ที่แข็งแกร่งจนผู้ผลิตต้องผลิตเครื่องพิมพ์ระบบแทงก์ออกมาขายเอง เมื่อต่อต้านไม่ได้ก็เข้าร่วมซะเลย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหมึกเถื่อน หรือหมึกทางเลือก จะมีราคาที่ถูกกว่า แต่คนที่เคยใช้ก็น่าจะเข้าใจดีว่า คุณภาพของสีสันที่ได้ก็ยังไม่สู้ตลับหมึกของแท้ และมักจะทำให้มีปัญหาหัวพิมพ์ตันง่ายกว่าด้วย
สุดท้ายแล้ว หากต้องการใช้ของมีคุณภาพดี ก็ต้องยอมจ่ายเงินใช้ของแท้จากผู้ผลิตอยู่ดี ซึ่งทางผู้ผลิตเองก็เข้าใจในจุดนี้เช่นกัน จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องลดกำไรลงมา
และทั้งหมดที่ว่ามานี้ ก็คือเหตุผลที่ทำให้หมึกปริ้นเตอร์มีราคาแพงนั่นเองครับ
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |