สำหรับ การ์ดจอ (Graphic Card) เป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการแสดงผลภาพ ยิ่งการ์ดจอมีสเปคสูง ก็ยิ่งแสดงผลภาพได้ดี ซึ่งรุ่นใหม่ ๆ ที่พัฒนาออกมาเมื่อมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ราคาสูงขึ้นแบบเล็กน้อยก็น่าจะเป็นเรื่องธรรมดาใช่ไหมล่ะครับ ?
แต่ทว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ราคาของการ์ดจอทั้งค่ายสีแดง (AMD) และ ค่ายสีเขียว (Nvidia) หลังจากออกวางขายสักพัก ก็เริ่มมีการปรับราคาขึ้นบ่อยจนผิดปกติ ทั้งราคาต้นทุนและหน้าร้าน ไม่ว่าคุณจะเลือกซื้อค่ายไหนก็ต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะอะไรกันที่ทำให้ การ์ดจอรุ่นต่าง ๆ ในปัจจุบันถึงมีราคาสูงขนาดนี้ ? เราลองมาดูเหตุผลไปพร้อม ๆ กัน
อย่างแรกเลย คือ ผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนชิป (Global Chip Shortage) ซึ่งหนึ่งในนั้นเอาไปผลิต หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ทำให้การ์ดจอ ต้องมีการปรับราคาต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งชิปที่ว่านี้ คือ สารกึ่งตัวนำ (Semi-Conductor) ที่ใช้เป็นส่วนประกอบหลักๆ ในการสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกือบทุกชนิด
ดังนั้นปัญหาขาดแคลนชิปจึงกระทบอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการผลิตสมาร์ทโฟน, เครื่องเล่นเกมคอนโซล, หรือแม้แต่ระบบหน้าจอที่ใช้ภายในรถยนต์ ก็จำเป็นต้องมีการปรับราคาต้นทุนและราคาจำหน่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากพูดถึงค่ายที่ผลิตการ์ดจอ เพื่อน ๆ จะนึกถึงอะไรก่อนครับ ?
แดง กับ เขียว ?
เพราะไม่ว่าเราจะหันไปทางไหนก็เราจะเจอเพียงแค่ชื่อของสองค่ายนี้ (AMD และ Nvidia) ซึ่งทั้งสองค่ายนี้เป็นคู่แข่งหลักที่ใหญ่ที่สุดในวงการอุตสาหกรรมการผลิตการ์ดจอ ทำให้ทั้งสองสามารถผลิตการ์ดจอออกมาวางขายและตั้งราคาสูง ๆ ได้โดยไม่มีคู่แข่งอื่น ๆ มาแข่งขันราคากัน
แล้วทำไมถึงไม่มีบริษัทใหญ่ ๆ เจ้าอื่นมาผลิตการ์ดจอแข่งบ้างล่ะ ? นั่นก็เพราะว่าตลาดของการ์ดจอนั้นมีขนาดเล็ก ทำให้ไม่มีความต้องการของลูกค้าที่มากพอที่จะสร้างโรงงานผลิตมาเพื่อแข่งขันในตลาด
อีกทั้งการสร้างโรงงานที่สามารถผลิตการ์ดจอได้นั้นต้องใช้เงินทุนที่มหาศาลแถมการผลิตการ์ดจอนั้นใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน เมื่อเทียบกับธุรกิจประเภทอื่น ๆ ซึ่งนั่นทำให้บริษัทหน้าใหม่ไม่กล้าเข้ามาลงทุนในวงการนี้นั่นเองครับ
นอกจากค่ายหลักที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีการ์ดจอแล้ว ยังมีแบรนด์ผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ บุคคลที่สาม (Third Party) ค่ายต่าง ๆ ที่นำชิปและต้นแบบการ์ดจอมาปรับแต่ง ทำดีไซน์ใหม่ ใส่พัดลมระบบระบายความร้อนเพิ่ม หรือ ไฟ RGB ทำให้สามารถเพิ่มราคาวางขายได้มากขึ้น อย่างยี่ห้อที่เราเห็นอยู่บ่อย ๆ ตามร้านคอม ก็จะมี ASUS, MSI, Gigabyte, XFX, eVGA, ZOTAC และอีกหลายแบรนด์เท่าเราไม่ได้พูดถึง
ซึ่งแบรนด์ต่าง ๆ เหล่านี้ได้ใช้เวลาสร้างฐานลูกค้าของตัวเองมาอย่างยาวนาน เมื่อขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ และมีดีไซน์ที่โดดเด่น ทำให้ลูกค้าที่ไว้วางใจ พร้อมที่จะจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อซื้อสิ่งที่ตัวเองต้องการ แม้การ์ดจอเหล่านั้นจะราคาแพงกว่าค่ายอื่น ๆ ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก
ยกตัวอย่างในปีที่ผ่านมา การ์ดจอ Nividia ระดับ High-End อย่าง GTX 1080Ti หรือ RTX 3060Ti เปิดตัว มีผู้คนเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ นานนับเดือน แต่พอถึงเวลาที่ของวางขายก็พบว่าของในหน้าเว็บนั้นหมดก่อนที่จะซื้อ ไม่ว่าจะหาซื้อเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหาซื้อได้ พอของมีจำนวนน้อยกว่าความต้องการ ก็ทำให้ราคาของสินค้านั้นพุ่งสูงขึ้นเกินกว่าราคาปกติ
คนบางกลุ่มที่รอซื้อการ์ดจอในราคาปกตินั้นไม่สามารถซื้อได้ เพราะเกินงบประมาณไปหลายขุมเลยทีเดียว ทำได้เพียงแต่เฝ้ารอเท่านั้น ซึ่งปัญหาความต้องการซื้อขายที่สูงขึ้นนั้นไม่ได้เกิดกับการ์ดจอเพียงอย่างเดียว อย่างวงการเครื่องเกมคอนโซล Nintendo Switch และ PS5 ก็เกิดปัญหาในรูปแบบนี้เช่นกัน จากราคาเริ่มต้นที่ 10,000 ต้นๆ พอของขาดตลาดก็พุ่งไปแตะ 20,000 กว่า ๆ เลยทีเดียว
วงการขุดเหมือง เหรียญดิจิทัล (Cryptocurrency Miner) ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีความต้องการการ์ดจอเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เพราะเครื่องขุดเหมืองต้องการการ์ดจอที่มีประสิทธิภาพสูงในการรันซอฟต์แวร์ขุดเหรียญดิจิทัล อย่าง Ethereum (ETH) ยิ่งการ์ดจอมีความแรงมากเท่าไหร่ ความเร็วในการขุดก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น นั่นทำให้การ์ดจอระดับสูง (High-End Graphic Card) ในหลายๆ รุ่นขาดตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น ช่วงที่ตลาด Bitcoin และเหรียญคริปโตมีมูลค่าสูง ๆ กลุ่มนักขุดที่ซื้อการ์ดจอไปทดลองใช้กับเครื่องขุดสามารถทำกำไรได้มากขึ้น ทำให้นักลงทุนขุดเหมืองหน้าใหม่และเก่า แห่กันซื้อการ์ดจอเพิ่มคนละหลักสิบ หลักร้อย เพื่อนำไปใช้งานจนไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด
แต่ในปัจจุบันตลาดคริปโตเป็นช่วงขาลง ทำให้ความต้องการคนซื้อการ์ดจอลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ ของเริ่มกลับมาวางขาย และหาซื้อกันได้ในราคาใกล้เคียงกับปกติ
นับจากวันแรกที่เกิด การระบาดของ โรคระบาดโควิด 19 (COVID-19 Pandemic) จนถึงวันนี้ เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโควิด 19 นั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่และการทำงานของผู้คนทั้งโลกไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ทำให้คนส่วนมากต้องปรับตัวและ ทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) กันมากขึ้น
ส่วนบางคนที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ หรือ คอมเก่าแล้ว ก็จำเป็นต้องซื้อเครื่องใหม่ เพื่อใช้ในการทำงาน และใช้เพื่อความบันเทิงภายในบ้านด้วย เมื่อผู้คนเริ่มสั่งเยอะจนของหมดสต๊อก ร้านค้าก็จำเป็นต้องสั่งและนำเข้าสินค้าเข้าใหม่ บวกกับช่วงโควิดที่หลายประเทศสั่งปิดล็อกดาวน์ (Lockdown) ห้ามนำเข้าสินค้าบ้างในบางพื้นที่ ของก็เริ่มขาดตลาดจนทำให้ราคาสูงขึ้นด้วยนั่นเอง
สินค้ามีจำนวนจำกัด ทำให้ของมีราคาสูงขึ้น และผลพ่วงต่อมาจากโรคระบาดโควิด ได้ทำให้โรงงานผลิตการ์ดจอหลายแห่งถูกสั่งปิดชั่วคราว สายการผลิตหยุดชะงัก จำนวนสินค้าที่สามารถผลิตได้ก็ลดลง และเมื่อโรงงานกลับมาเปิดทำงานได้ตามปกติ ก็ยังไม่สามารถเพิ่มจำนวนการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการได้
การรีเซล (Resell) คือการซื้อสินค้าในราคาปกติและนำมาบวกราคาวางขาย เพื่อทำกำไรส่วนต่าง เมื่อสินค้ามีจำนวนจำกัดก็ยิ่งเป็นที่ต้องการของผู้คนจำนวนมาก ก็ไม่แปลกที่จะมีผู้คนที่เห็นถึงช่องทางทำกำไรนี้ การ์ดจอเองก็เป็นสิ่งที่ถูกหมายปองด้วยเช่นกัน
ในมุมปกติ ถ้าเป็นคนทั่วไปที่ซื้อไปใช้งานเองก็จะซื้อเพียงแค่ไม่กี่ชิ้น แต่การรีเซลจะใช้วิธีซื้อของจำนวนมาก ๆ เพื่อกักตุนและนำมาวางขายในราคาที่สูงกว่าปกติ หรือ บางครั้งเราก็เห็นร้านค้าบางแห่งใช้วิธีกักตุนสินค้าและนำออกมาวางขายในราคาที่สูงขึ้นเสียเอง ซึ่งแบบนี้ไม่เป็นผลดีต่อผู้บริโภคเลย
การ์ดจอนั้นเป็นสิ่งที่เปราะบางและเสียหายได้ง่าย ทำให้การขนส่งต้องระวังเป็นพิเศษ กล่องที่แพ็คการ์ดจอสำหรับส่งต้องใช้วัสดุที่บุอย่างแน่นหนาเพื่อกันกระแทกไม่ให้การ์ดจอเสียหาย ทำให้ราคาโดยรวมของการ์ดจอนั่นสูงขึ้นทุกครั้งที่มีการขนส่งนั่นเอง
สเปคของการ์ดจอในปัจจุบันนั้นมีประสิทธิภาพและราคาสูงกว่ารุ่นก่อน ๆ ด้วยเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด การแสดงผลของการ์ดจอในปัจจุบันสามารถแสดงผลได้อย่างสมจริง ทั้งการรองรับความละเอียดที่มากขึ้นแสดงผลแบบ ความละเอียด 4K UHD หรือ ความละเอียด 8K ได้อย่างละเอียดเนียนตา หรือ การเปิด Ray Tracing และการประมวลผลที่ใช้ เทคโนโลยี AI ร่วมด้วยมีเฉพาะในการ์ดจอรุ่นใหม่ ๆ เท่านั้น จึงไม่แปลกที่ราคาของการ์ดจอจะเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา
และถ้าคุณอยากได้การ์ดจอที่มีความแรงสูงสุดแบบครอบจักรวาล ปรับได้ลื่นสุดทุกทาง นั่นหมายความว่าคุณต้องจ่ายเงินซื้อการ์ดจอรุ่น Top ในราคาหลายหมื่นไปจนถึงหลักแสนเลยทีเดียว และยิ่งของขาดตลาดหายากในช่วงนี้ อย่างที่รู้กัน การหาการ์ดจอราคาถูกแบบปกตินั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมา เป็นเรื่องยากที่เราจะเห็นการ์ดจอมีราคาถูกลง เพราะปัญหาขาดแคลนชิปก็ยังไม่จบลง, การแข่งขันของราคาที่เพิ่มขึ้น, วงการเหมืองคริปโตยังมีอยู่, สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ และยังมีปัญหาด้านการกักตุนสินค้าเพิ่มเข้ามาอีก
สิ่งที่พอจะคาดเดาได้ในตอนนี้ ก็คือ ราคาอาจจะยังคงเท่าเดิม เพิ่มขึ้นนิดหน่อย หรือ สูงขึ้นไปเป็นเท่าตัวเลยก็ได้ถ้าใครมีความคิดเห็นอย่างไร เจอปัญหาแบบไหน ลองมาบอกและแชร์กันได้นะครับ เราหวังว่าในอนาคตไม่ไกลนี้ อาจจะได้เห็นการ์ดจอแรง ๆ ในราคาที่จับต้องได้ หาซื้อได้สะดวก อีกครั้ง
|
It was just an ordinary day. |
ความคิดเห็นที่ 1
16 มีนาคม 2567 20:55:59
|
||
GUEST |
kpcn
เศร้าา
|
|