หากเราดูข้อมูลส่วนแบ่งทางการตลาดของ เว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) ในปี ค.ศ 2021 (พ.ศ. 2564) ถ้าเป็นเดสก์ทอป เว็บเบราว์เซอร์ Chrome ของ Google นำลิ่วอยู่ที่ 68.76% ตามมาด้วย Safari ที่ 9.7% แต่ถ้าข้ามไปที่ฝั่งสมาร์ทโฟน แม้ Chrome จะยังคงเป็นที่หนึ่ง 63.72% แต่ Safari ก็มียอดสูงขึ้นพอสมควร โดยอยู่ที่ 23.78%
แม้จำนวนผู้ใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ Safari จะน้อยกว่า Chrome มาก สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะมันไม่ดี หรือมีประสิทธิภาพแย่ แต่เป็นเพราะทาง Apple ไม่ได้เปิดให้ระบบปฏิบัติการอื่นสามารถดาวน์โหลดไปใช้งานได้ สามารถใช้งานได้เฉพาะ iOS, iPadOS และ macOS เท่านั้น
เว็บเบราว์เซอร์ Safari บน iPhone นั้นมีลูกเล่นน่าสนใจอยู่หลายอย่าง ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่า Safari มันทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ ? จะมีอะไรบ้าง มาลองอ่านกัน
ในปี ค. 2021 (พ.ศ. 2564) ทาง Apple ได้เปิดตัว iCloud Private Relay คุณสมบัติที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้แบบปกปิดตัวตน
การทำงานของ iCloud Private Relay จะแตกต่างจาก เครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN) และผู้ใช้ไม่สามารถเลือกใช้งาน VPN และ iCloud Private Relay พร้อมกันในเวลาเดียวกันได้ โดยมันทำงานด้วยการแบ่งขั้นตอนการส่งข้อมูลออกเป็น 2 ขั้นตอน โดยในการส่งครั้งแรก IP Address และ DNS ของคุณจะถูกเข้ารหัส โดย Apple หลังจังหวะที่สอง จะดำเนินการโดยผู้ให้บริการเนื้อหาแบบ บุคคลที่สาม (3rd-Party) จะทำการสุ่มค่า หมายเลขที่อยู่ไอพี (IP Address) และถอดรหัสคำร้องขอ Web Request ให้แก่ผู้ใช้งาน
ความดีงามของการแบ่งขั้นตอนก็เพื่อป้องกันไม่ให้ ทาง Apple หรือ 3rd-Party สามารถย้อนรอบสืบหาต้นตอที่มาของคำขอได้ง่าย ๆ ว่าคนส่งเป็นใคร และส่งคำร้องขอไปยังเว็บไซต์อะไร
อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติ iCloud Private Relay นั้น จะใช้งานได้ต่อเมื่อคุณสมัครสมาชิก iCloud+ หรือ Apple One แล้วเท่านั้น เปิดใช้งานด้วยการไปที่
ใน iPhone, iPad หรือ iPod touch ของคุณ ให้แตะไปที่ แอป "Settings" → [ชื่อบัญชีผู้ใช้งาน] → iCloud
แตะที่ "เมนู Private Relay" เพื่อเปิดใช้งาน
|
ภาพจาก : https://support.apple.com/th-th/guide/iphone/iph499d287c2/ios, https://support.apple.com/th-th/HT212614
การที่ Chrome เป็นที่รักของผู้ใช้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่วนหนึ่งก็เพราะมันสามารถเพิ่มความสามารถในการทำงานผ่าน ส่วนขยาย (Extension) ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งผู้ใช้หลายคนยังไม่รู้ว่า ตั้งแต่ iOS 15 เป็นต้นมา Safari เองก็สามารถเพิ่มส่วนขยายได้แล้วเช่นกัน
ผู้ใช้สามารถค้นหา Safari Extensions มาติดตั้งได้จาก App Store ด้วยการแตะไปที่ "เมนู Apps" แล้วเลื่อนหาหัวข้อ "Safari Extensions" ถ้าหาไม่เจอ ให้แตะไปที่ "เมนู Sea All" ที่อยู่ใต้ "หัวข้อ Top Categories" แล้วแตะเลือก "เมนู Safari Extensions" ในนั้นจะมีส่วนขยายให้เลือกใช้งานอยู่มากมาย ก็เข้าไปเลือกติดตั้งได้ตามสบาย
Apple นั้นเป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องใส่ใจดูแลข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ที่สูงเป็นพิเศษ ใน Safari การตั้งค่าเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว ส่วนใหญ่จะถูกเปิดใช้งานเอาไว้แล้วเป็นค่าเริ่มต้น แต่ก็ยังมีคุณสมบัติน่าสนใจที่ควรค่าแก่การเข้าไปปรับเพิ่มได้
ให้เราเข้าไปที่ "แอป Settings" เลื่อนหา "เมนู Safari" แตะเข้าไปแล้วเลื่อนหาหัวข้อ "Privacy & Security"
ในนั้นเราสามารถเลือกที่จะเปิดใช้งานคุณสมบัติ "Prevent Cross-Site Tracking" เพื่อป้องกันการทำโฆษณาแบบข้ามเว็บไซต์ด้วยข้อมูลจาก เว็บ Cookie คืออะไร ? ซึ่งในทางทฤษฎีจะช่วยให้ระบบโฆษณาเก็บพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตได้ยากขึ้น
และเรายังสามารถเลือกที่เปิดใช้งานคุณสมบัติซ่อน IP Address ด้วยการเปิดใช้งาน "Hide IP Address" เพื่อป้องกันไม่ให้นักการตลาดคาดคะเนทำเลที่อยู่ของคุณจากตำแหน่งของ IP ได้
โหมดอ่านหนังสือหรือ Reader Mode เป็นโหมดที่ช่วยให้คุณอ่านบทความบนหน้าเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น สามารถใช้งานได้เกือบทุกเว็บไซต์ โดยมันจะตัดเมนูของเว็บ, แบนเนอร์โฆษณา ฯลฯ ออกทั้งหมด คงเหลือไว้เพียงข้อความ และรูปภาพเท่านั้น ซึ่งมันจะจัดหน้าการแสดงผลใหม่ให้เหมือนกับหน้านิตยสารอย่างสวยงาม นอกจากนี้ เรายังสามารถปรับรูปแบบฟอนต์, ขนาดฟอนต์ และสีพื้นหลังได้อีกด้วย
วิธีเปิดใช้งาน Reader Mode ก็ง่ายมาก เพียงเราแตะที่ "ปุ่ม aA" แล้วเลือก "เมนู Show Reader" หน้าเว็บไซต์ก็จะเปลี่ยนการแสดงผลในทันที เมื่อเราแตะ "ปุ่ม aA" ซ้ำอีกครั้ง ก็จะเป็นการปรับแต่งรูปแบบการแสดงผล ถ้าจะกลับสู่หน้าเว็บปกติก็แค่เลือก "เมนู Hide Reader"
เมนูใน "ปุ่ม aA" นอกจากการใช้เปิดโหมดอ่านหนังสือแล้ว เราก็อยากจะกล่าวถึง "เมนู Website Settings" ด้วย ในเมนูนั้น จะมีตัวเลือกที่น่าสนใจอยู่ คือ
หากคุณพบลิงก์ หรือเว็บไซต์ที่น่าสนใจ แต่ยังไม่มีเวลาอ่านในขณะนั้น แทนที่เราจะบันทึกไว้ในที่คั่น (Bookmarks) ลองเปลี่ยนมาใช้งาน Reading List แทน
โดย Reading List จะบันทึกหน้าเว็บเอาไว้ในเพื่ออ่านในภายหลังแบบออฟไลน์ได้โดยที่ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต วิธีใช้งานก็ง่ายนิดเดียว แตะที่ปุ่มแชร์ แล้วเลือก "เมนู Add to Reading List" เวลาต้องการเปิดดูรายการที่บันทึกไว้ ก็ให้แตะที่ "ไอคอน หนังสือ" แล้วเลือก "แท็บ แว่นตา"
เวลาที่เราเปิดหน้าเว็บไซต์หลายแท็บ มันอาจจะทำให้คุณลำบากเวลาที่ต้องการค้นหาแท็บที่ต้องการ แต่เราสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ง่าย ๆ ด้วยการจัดระเบียบด้วยทำให้มันเป็นกลุ่มด้วยคุณสมบัติ "Tab Group"
โดยให้เราแตะที่ "ไอคอน Tab" (ที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมซ้อนกัน) จะเห็นว่าด้านล่างจะบอกจำนวนแท็บที่มีอยู่ ให้เราแตะเข้าไป จากนั้นก็เลือกได้เลยว่าจะสร้างกลุ่มแท็บใหม่จากแท็บที่กำลังเปิดอยู่ หรือเริ่มสร้างกลุ่มแท็บใหม่ที่ว่างเปล่าขึ้นมาแทนแท็บเดิม
โหมด Private Browsing นั้นก็เหมือนกับโหมด Incognito ของ Chrome โดนในโหมดนี้ ตัว เว็บเบราว์เซอร์ จะไม่มีการบันทึกประวัติ และ Cookies เอาไว้เลย นอกจากนี้ มันยังมีประโยชน์ในการเข้าใช้งานเว็บไซต์ด้วยบัญชีอื่น ๆ โดยที่ไม่ต้องกดล็อกเอาท์บัญชีเดิมออกจากระบบ
สามารถใช้งาน Private Browsing ได้ง่าย ๆ ด้วยการแตะ "ไอคอนแท็บ" ค้างเอาไว้ แล้วเลือก "เมนู New Private Tab" หรือแตะที่ "ไอคอน Safari" ค้างเอาไว้ ตามด้วย "เมนู New Private Tab"
เว็บไซต์สมัยนี้มีหลายแห่งที่พัฒนาขึ้นมาให้ทำงานได้เหมือนกับแอปพลิเคชัน หรือที่เราเรียกกันว่า เว็บแอปพลิเคชัน (Web Application) เราสามารถเลือกที่จะเพิ่มเว็บไซต์ที่ใช้งานบ่อย หรือเว็บแอปพลิเคชันเหล่านี้ไว้ที่หน้าจอ Home Screen ของ iPhone ได้ เพื่อให้สะดวกต่อการเรียกใช้งาน
โดยในเว็บแอปพลิเคชันการทำงานจะไม่ต่างจากแอปพลิเคชันปกติเลย มันจะไม่มี หน้าจอเชื่อมต่อผู้ใช้งาน (User Interface) ของ Safari มากวนใจ และอยู่ในระบบ Multitask ด้วย วิธีทำก็ไม่ยาก แค่แตะที่ "ปุ่มแชร์" แล้วเลือก "เมนู Add to Home Screen" เท่านั้นเอง
ใครที่ใช้งาน Safari เป็นประจำ ก็ลองใช้งานลูกเล่นเหล่านี้ดูนะ อาจจะมีสิ่งที่ช่วยให้คุณใช้งานสะดวกมากขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |