โลกในปัจจุบันนี้ มีตัวเชื่อมต่อ (Connector) ต่าง ๆ นั้นมีอยู่มากมายหลายชนิด เพราะ ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ (Computer Hardware) ต่าง ๆ เกือบทั้งหมดบนโลกใบนี้ ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนจำนวนมาก ซึ่งการที่ชิ้นส่วนเหล่านั้นจะทำงานร่วมกันได้ มันก็ต้องมีการเชื่อมต่อหากันด้วย ไม่ว่าจะเพื่อจ่ายพลังงาน หรือแลกเปลี่ยนข้อมูล
สำหรับ "ขั้วต่อไฟฟ้าทรงกลม หรือ คอนเนคเตอร์กลม (Circular Connectors)" นั้นเป็นหนึ่งในหัวเชื่อมต่อที่เก่าแก่ และได้รับการพัฒนามาอย่างยาวนาน จากเทคโนโลยีที่คิดค้นมาใช้ในทางทหาร ในปัจจุบันนี้มันก็กลายมาเป็นมาตรฐานหัวเชื่อมต่อที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายทั้งในระดับอุตสาหกรรม และผู้ใช้ตามบ้าน
โดยในบทความนี้ เราก็อยากแนะนำเกี่ยวกับ Circular Connectors ให้เข้าใจกันมากขึ้น ว่ามันคืออะไร ? ทำไมมันถึงเป็นที่นิยม
ตัวเชื่อมต่อ (Connector) รับบทบาทสำคัญในการกำหนดเส้นทางให้กับสัญญาณ และพลังงาน ที่ไหลเวียนอยู่ในระบบอิเล็กทรอนิกส์แทบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นในเครื่องจักรอุตสาหกรรม, เครื่องบิน, อุปกรณ์ทางการแพทย์, หุ่นยนต์, อุปกรณ์สื่อสาร และอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย
โดยในระบบอิเล็กทรอนิกส์ จะมีตัวเชื่อมต่อทั้งภายนอก และภายใน โดยภายในมักจะใช้เชื่อมต่อระหว่างชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้ากับ Printed Circuit Boards (PCBs) บางท่านอาจจะมีคำถามว่า แล้วทำไมต้องผลิตแยกเป็นหลายชิ้นด้วย คำตอบคือ ชิ้นส่วนในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มันมีอยู่หลายชิ้น แต่ละชิ้นก็มักจะมาจากผู้ผลิตหลายราย หรือต่อให้คุณสามารถผลิตทุกชิ้นส่วนได้ด้วยตนเอง การแยกชิ้นส่วนกระจายออกมา ก็ยังดีกว่าอยู่ดีในแง่ของการทดสอบ และซ่อมแซม เวลาที่อุปกรณ์เกิดความบกพร่อง
ส่วนหัวเชื่อมต่อภายนอกก็มีอยู่มากมายเช่นกัน และมันก็ส่วนที่ผู้ใช้งานสัมผัสบ่อยที่สุดด้วย อย่างการเสียบหูฟัง, ต่อหน้าจอคอมพิวเตอร์, เสียบ พอร์ต USB, ต่อ LAN ฯลฯ พวกนี้ก็ถือเป็นหัวเชื่อมต่อภายนอกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน หน้าที่หลักของหัวเชื่อมต่อภายนอกก็จะเป็น อินเทอร์เฟซ (Interface) ที่ช่วยอำนวยความสะดวก ในการเชื่อมต่อให้ฮาร์ดแวร์ภายในอุปกรณ์ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล และพลังงานกับโลกภายนอกได้
สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากในการออกแบบ Connector คือมันต้องมีเสถียรภาพในการทำงาน ทนต่อสภาวะภายนอกที่มีสิ่งรบกวนอยู่มากมาย และมันต้องไม่กระทบกับการออกแบบตัวอุปกรณ์ทั้งภายใน และภายนอกอีกด้วย
และสำหรับ Connector นั้นมีอยู่หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้งาน แต่ในบทความนี้ เราจะกล่าวถึงขั้วต่อไฟฟ้าทรงกลม (Circular Connectors) ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน
โดย Circular Connectors นั้นหรืออาจเรียกว่า "Aviation Plug" หรือ "ปลั๊กการบิน" ก็ได้ นั่นเพราะว่าแรกเริ่มเดิมที มันเป็นขั้วเชื่อมต่อที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจาก อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบินทางทหาร ในช่วงปี ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) ซึ่งในการทำงานของเครื่องบินทางการทหาร มันต้องการขั้วเชื่อมต่อที่มีความทนทาน และเสถียรภาพในการสูง จากการที่มันถูกใช้บนเครื่องบินรบมาก่อน เราคงไม่ต้องอธิบายอะไรต่อแล้ว ว่ามันทำงานได้ดีขนาดไหน
ภายหลัง Aviation Plug ก็แพร่หลายเข้าสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ มีใช้ตามครัวเรือน ด้วยความที่มันเป็นขั้วทรงกลม ก็เลยถูกเรียกว่า Circular Connectors
หน้าตาของขั้วเชื่อมต่อแบบ Circular Connectors ปกติก็จะเป็นกรอบพลาสติก หรือโลหะ ล้อมรอบหน้าสัมผัสที่ฝังอยู่ในฉนวน เพื่อให้แท่งที่เป็นหน้าสัมผัสเรียงเป็นแนวตามการออกแบบของเต้ารับ แล้วก็มีสายเชื่อมต่อ นอกจากนี้ ยังมักมีการใส่เกลียวล็อกให้หมุนหลังจากที่เสียบสายแล้วด้วย โครงสร้างรูปแบบนี้ ทำให้มันมีความทนทานต่อการถูกรบกวนจากสภาพแวดล้อม และไม่หลุดออกจากกันอย่างไม่ตั้งใจง่าย ๆ
ภาพจาก : https://shopee.co.th/product/306642004/5868087129?
ในปัจจุบันนี้ Circular Connectors มีหลายขนาดให้เลือกใช้งาน แต่มาตรฐานหลักที่ได้รับความนิยมคือ ขนาด M5, M8 และ M12 โดยมันจะแตกต่างกันที่ขนาดของขั้วเชื่อมต่อ ขั้วที่มีขนาดเล็กจะนิยมใช้งานกับเซ็นเซอร์ที่มีความอ่อนไหวสูง ส่วนขั้วที่มีขนาดใหญ่จะเหมาะกับการจ่ายพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้งานกับเครื่องจักรต่าง ๆ
Circular Connectors มีลักษณะเป็นทรงกระบอก ตัวผู้ภายในจะมี PIN อยู่หลายแท่งเพื่อใช้ในการส่งข้อมูล หรือพลังงาน ส่วนตัวเมียก็จะมีจำนวนรู และตำแหน่งตามลักษณะของตัวผู้ โดยตัวกระบอก และ PIN เหล่านี้ มีความยาว และเส้นผ่านศูนย์กลางหลายขนาด แล้วแต่การออกแบบ
ภาพจาก : https://www.cuidevices.com/blog/the-basics-of-circular-connectors-and-Cables#appliCable-standards-for-circular-connectors
การที่รูปทรงของมันเป็นทรงกระบอก ทำให้มันมีความทนทานสูงฃ เพราะสามารถกระจายแรงกระแทก แรงสั่นสะเทือนได้ตามกฏฟิสิกส์ อีกทั้งตัวกระบอกที่อยู่รอบ PIN ยังช่วยทำหน้าที่ในการป้องกัน PIN ไม่ให้โดนผลกระทบจากภายนอกโดยตรง ไม่ว่าจะฝุ่น, น้ำ, สิ่งสกปรก, คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Interference - EMI), คลื่นวิทยุ (Radio Frequency Interference - RFI), อุณหภูมิ ฯลฯ ส่วนตำแหน่ง PIN ภายในกระบอกนั้น ซึ่งตัวกระบอกก็มีวัสดุหลายชนิดที่นำมาใช้ผลิต แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพลาสติกไม่ก็โลหะ
การจัดเรียง PIN ก็มีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ เช่น DIN, Metric, Hermetic, Push-Pull, Keyed, Mixed Signall หรือจะรวมหลายมาตรฐานในหัวเดียว เพื่อจ่ายพลังงาน และส่งข้อมูลได้ด้วยสายเพียงเส้นเดียว ก็ทำได้เช่นกัน
ภาพจาก : https://www.cuidevices.com/blog/the-basics-of-circular-connectors-and-Cables#appliCable-standards-for-circular-connectors
แต่ไม่ว่าจะออกแบบอย่างไรก็ตาม Circular Connectors ก็จะประกอบไปด้วยองค์ประกอบพื้นฐานดังต่อไปนี้
ในขั้วตัวผู้ก็จะเป็นแท่งยาว หรือที่เราเรียกว่า PIN ส่วนขั้วตัวเมียก็จะเป็นรู โดยจะออกแบบมาให้สอดคล้องกัน เพื่อให้ทั้งคู่เชื่อมต่อกันได้อย่างพอดี สัญญาณต่าง ๆ ไม่ว่าจะข้อมูล หรือไฟฟ้าจะสื่อสารผ่านตัว Contacts นี้
เป็นส่วนที่ใช้ในการห่อหุ้ม Contacts และกั้นไม่ให้ตัว Contacts นั้นเกิดการสัมผัสกัน และยังทำหน้าที่ในการตรึงให้ตำแหน่งของ PIN อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องอีกด้วย
คือเปลือกด้านนอกของขั้วต่อ ทำหน้าที่เป็นเหมือนบ้านสำหรับ Contacts และ Insulator ได้อยู่อาศัย และยังมีหน้าที่การช่วยจัดตำแหน่งเวลาที่เรานำขั้วตัวผู้ และขั้วตัวเมียมาเชื่อมต่อกันอีกด้วย
เป็นองค์ประกอบเสริม โดยส่วนนี้มีประโยชน์หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับการออกแบบ อาจจะเป็นเกลียวล็อกเพื่อช่วยในการยึด และกันน้ำ, อาจจะมีรูกุญแจเพื่อล็อก ฯลฯ
ภาพจาก : https://www.cuidevices.com/blog/the-basics-of-circular-connectors-and-Cables#appliCable-standards-for-circular-connectors
อย่างที่เราได้อธิบายไปแล้วว่า Circular Connectors มีหลายประเภทมาก ๆ แต่มาตรฐานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็จะมี M5, M8 และ M12
โดย M นั้นหมายถึงหน่วยวัดขนาดในระบบเมตริก (Metric) โดย M5 ก็จะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 มม., M8 ก็จะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 มม. ส่วน M12 ก็จะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 มม.
ซึ่ง Metric circular connectors รองรับการป้องกันน้ำ และฝุ่นระดับ IP67 / IP68 สามารถทำงานได้ที่อุณหภูมิ -40 °C ถึง +85 °C
ภาพจาก : https://www.norcomp.net/connector-types-and-applications
M5 connectors เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใช้ในอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็ก แต่ต้องการความปลอดภัย และเสถียรภาพในการรับส่งสัญญาณ มันนิยมใช้ในระบบขนส่ง และระบบควบคุมต่าง ๆ เช่น ประตูอัตโนมัติ, การเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์ รวมถึงในอุปกรณ์สื่อสาร และรับส่งข้อมูล
สำหรับ M8 CIRCULAR CONNECTORS มันเป็นเวอร์ชันที่มีขนาดเล็กกะทัดรัดกว่า M12 ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในอุปกรณ์ที่ต้องการเปลือกหุ้มที่แข็งแรงทนทาน และมีแรงสั่นสะเทือนสูงได้ นิยมใช้ในอุปกรณ์ทางการแพทย์, เครื่องบันทึกข้อมูล และเซ็นเซอร์ที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมเลวร้าย รวมไปถึงอุปกรณ์ทางการบิน และทางทะเล
เป็นขั้วต่อที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ตั้งแต่ช่วงยุค ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523) และได้กลายเป็นขั้วเชื่อมต่อหลักในอุตสาหกรรมนี้มาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากมันมีความทนทานสูงมาก สามารถใช้งานภายใต้สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายได้อย่างทนทาน M12 ยังถูกนำมาใช้ในระบบควบคุมจากระยะไกล, หุ่นยนต์, ระบบเครือข่าย และระบบจ่ายพลังงาน ที่ต้องการความทนทานสูงเป็นพิเศษอีกด้วย
Connector | จำนวน Contact | ประเภท | Shield |
M5 | 2, 3, 4 |
|
|
M8 | 3, 4, 5, 6 |
|
|
M12 | 3, 4, 5, 6, 8, 12 |
|
|
สำหรับขั้วต่อไฟฟ้าทรงกลม (Circular Connectors) หากเปรียบเทียบกับ Rectangular Connectors (ขั้วเชื่อมต่อทรงสี่เหลี่ยม) ก็จะมีข้อดี และข้อเสียดังต่อไปนี้
สำหรับ Circular Connectors เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ที่ต้องการความแข็งแรงในการเชื่อมต่อ การที่รูปร่างของมันเป็นทรงกระบอกมันช่วยลดปัญหาขั้วต่อบิดเบี้ยวเสียรูปจนเกิดความเสียหาย จากแรงสั่นสะเทือนที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างที่อุปกรณ์บางประเภทกำลังทำงาน
Circular Connectors M 23 RJ45
ภาพจาก : https://www.indiamart.com/proddetail/circular-connectors-m-23-rj45-20443926033.html
พื้นที่ในการติดตั้ง PIN ของ Circular Connectors นั้นมีจำกัด เนื่องจากตัว PIN มันใช้พื้นที่สิ้นเปลืองกว่า และพื้นที่ก็มีน้อยกว่า รวมถึงขนาดของหัวขั้วต่อก็ใหญ่กว่าด้วย การจัดเรียงบนตัวอุปกรณ์ก็ใช้พื้นที่มากกว่าเช่นกัน เพราะ Rectangular Connectors สามารถเรียงชิดแบบติดกันได้มากกว่าเยอะ
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |