มันเป็นเรื่องไร้สาระ แค่คุณเตรียมตัวมาดีก็สามารถเข้าถึงความวิกลจริตได้แล้ว แล้วถ้าหนังเรื่องนั้นมันห่วยล่ะ คิดว่าคุณประสบความสำเร็จจากการทำแบบนั้นหรอ ? ผมควรประทับใจหรอถ้าคุณยังไม่ทิ้งตัวละครนั้น ? คุณควรจะทิ้งตัวละครนี้ตั้งแต่ต้นแล้วด้วยซ้ำ ! ถ้างั้นคุณจะเตรียมตัวรับบทฆาตกรต่อเนื่องยังไงล่ะ ? ใช้เวลาสองปีเพื่อลองเป็นฆาตกรหรือไง ?
นี่คือคำกล่าวของ Mads Mikkelsen ที่ได้ถูกสัมภาษณ์ถึงการแสดงแบบ Method Acting
กล่าวแบบย่อ ๆ เข้าใจง่ายว่า Method Acting คือการแสดงแบบเข้าถึงบทบาทของตัวละครที่ได้รับ จนแทบจะเรียกได้ว่า ไม่ได้ “แสดง” แต่ “กลายเป็น” ตัวละครเหล่านั้นจริง ๆ เลย ทั้งในและนอกฉากเพื่อให้สามารถดำดิ่งซึมซับตัวละครนั้นได้ดีที่สุด เช่น การลดน้ำหนักเพื่อรับบทคนอดอยาก หรือการใช้ชีวิตบนรถเข็นเพื่อรับบทคนพิการ เป็นต้น
แต่แรกเดิมทีมันถูกเรียกว่า The Method หรือเรียกอีกชื่อนึงว่า Stanislavski System เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามหลักการของการตีความการแสดงละครที่คิดค้นและนำไปใช้โดยครูสอนละครชาวรัสเซีย Konstantin Stanislavski เป็นการให้นักแสดงพยายามแสดงให้สมจริงโดยใช้ “ความทรงจำทางอารมณ์” (Emotional memories)
Konstantin Stanislavski
ที่มาภาพ : theguardian.com
หลังจากนั้นไอเดียนี้ก็ได้ถูกนำมาใช้โดย Lee Strasberg นักแสดง ผู้กำกับและครูสอนการแสดงชาวอเมริกาใช้สอนเหล่านักแสดงที่ Actors Studio และ Strasberg Theatre เป็นสถาบันเพื่อใช้สำหรับฝึกนักแสดงละครและนักแสดงภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยหลักการนี้ได้ถูกเรียกว่า “Method Acting”
Lee Strasberg
ที่มาภาพ : britannica.com
The Method เกิดขึ้นมาจากผลของการแสดงที่เป็น “ระบบ” ถูกพัฒนาโดยครูสอนการแสดงชาวรัสเซีย Konstantin Stanislavski ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 โดยเขาเรียกระบบนี้ว่า “ศิลปะแห่งประสบการณ์”
มันเป็นกระบวนการทางระดมความคิดของนักแสดงเพื่อไปกระตุ้นกระบวนการทางจิตวิทยาอื่น ๆ ที่ควบคุมได้ยาก เช่น ประสบการณ์ทางอารมณ์, พฤติกรรมทางจิตใต้สำนึก, ความเห็นอกเห็นใจโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งในการซ้อม นักแสดงจะมองหาแรงจูงใจเพื่อพิสูจน์การกระทำและคำจำกัดความของสิ่งที่ตัวละครพยายามจะทำให้สำเร็จในช่วงเวลาที่กำหนด
โดยใช้หลักการให้เหล่านักแสดงถามตัวเองว่า “อะไรจะกระตุ้นให้ฉัน ซึ่งเป็นนักแสดง แสดงพฤติกรรมตามตัวละครที่ได้รับ ?” และหลักการของ Stanislavski ก็จะตอบคำถามนั้นด้วยการ “มอบสถานการณ์เฉพาะของบทที่จะเล่นลงไป แล้วดูว่าฉันจะทำตัวอย่างไร, ฉันจะทำอะไร, ฉันจะรู้สึกอย่างไร, ฉันจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ?” ซึ่งเป็นการที่นักแสดงพยายามแสดงให้สมจริงโดยใช้ความทรงจำทางอารมณ์หรือ “Emotional memory”
แผนภาพ The Method ของ Konstantin Stanislavski
ที่มาภาพ : fictionhorizon.com
หลังจากนั้นไอเดียนี้ก็ได้ถูกนำมาต่อยอดโดย Lee Strasberg ผู้ได้รับฉายาว่า “บิดาแห่ง Method Acting ในอเมริกา” เขาได้ใช้สอนที่ Actors Studio และ Lee Strasberg Theatre และสถาบันภาพยนตร์ เป็นสถาบันเพื่อใช้สำหรับฝึกนักแสดงละครและภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาได้สอนแนวทางนี้ให้กับนักแสดงชื่อดังในวงการมามากมาย ทั้ง Al Pacino, Dustin Hoffman, James Dean และ Marilyn Monroe รวมถีงนักแสดงหลายคนที่ไม่ได้เรียนกับเขาโดยตรง ต่างก็ใช้แนวทางของ Strasberg ในการแสดง ทั้ง Angelina Jolie, Scarlett Johansson, Sylvester Stallone และ Jack Nicholson
Strasberg มองเห็นข้อจำกัดในระบบของ Stanislavski คือในความทรงจำทางอารมณ์ของนักแสดงอาจไม่เพียงพอที่จะเชื่อมโยงกับสถานการณ์ที่ตัวละครที่พวกเขาแสดงกำลังเจอได้อย่างเต็มที่ นักแสดงที่เติบโตในครอบครัวชนชั้นกลางและอยู่ท่ามกลางมหานครใหญ่อย่าง New York จะไปเข้าใจชีวิตของตัวละครที่อาศัยอยู่ในย่านคนจนในเมืองชนบททางตอนใต้ได้อย่างไร ?
Method Acting ของ Strasberg จึงเป็นการกำหนดให้นักแสดงควรเตรียมตัวสำหรับบทบาทโดยหมกมุ่นอยู่กับสถานการณ์ของตัวละครที่ตัวเองจะต้องแสดงให้มากที่สุด นี่อาจหมายถึงการที่ให้นักแสดงได้ไปใช้ชีวิตในฟาร์มจริง ๆ , ไปทำงานในโรงงานจริง ๆ, หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงรูปร่างจริง ๆ ด้วย
ถึงแม้ Method Acting จะเป็นวิธีเข้าถึงตัวละครแบบสมบทบาท น่าชื่นชม แต่บางครั้งมันออกจะเป็นวิธีที่สุดโต่งไปเสียหน่อย และเหมือนจะเป็นดาบสองคมเสียด้วย เพราะนอกจากจะได้รับคำชื่นชมมากมายว่าสามารถเป็นตัวละครนั้นได้จริง ๆ ดูทุ่มเทที่จะเข้าถึงตัวละครนั้น ๆ แต่ในทางกลับกันมันก็เป็นการทำร้ายสุขภาพและจิตใจของนักแสดง รวมถึงอาจส่งผลต่อคนรอบข้างอีกด้วย และปฏิเสธไม่ได้ว่ามีนักแสดงหลายคนที่ไม่ยอมออกจากบทบาทที่ตัวเองได้รับแม้อยู่หลังกล้องก็ตาม
Christian Bale
ที่มาภาพ : gq-magazine.co.uk
เริ่มจากนักแสดงที่หลายคนน่าจะคุ้นน่าค่าตากันดี กับ Christian Bale ที่ขึ้นชื่อเรื่องการ ลด ๆ เพิ่ม ๆ น้ำหนักเป็น 10 กิโลกรัม ในการรับหนังแต่ละเรื่องอย่างบ้าคลั่ง
เช่นในหนัง ภาพยนตร์ The Machinist ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) ที่เจ้าตัวมารับบทเป็น Trevor Reznik คนคุมเครื่องจักรในโรงงานที่เป็นโรคป่วยนอนไม่หลับ จนร่างผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก หลายคนไม่กล้าเข้าใกล้ จนอาการแย่ลงมีอาการจิตหลอน
Christian Bale ในบท Trevor Reznik จากหนัง ภาพยนตร์ The Machinist ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547)
ที่มาภาพ : imdb.com
ในตอนแสดงเรื่องนี้ Bale น้ำหนักเพียง 55 กิโลกรัมเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ในหนัง ภาพยนตร์ Equilibrium ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545) เขามีน้ำหนัก 81 กิโลกรัมแท้ ๆ เขามีเวลา 4 เดือนก่อนถ่ายทำที่ต้องลดน้ำหนักให้ได้ถึงเป้า เขาจึงเริ่มอดอาหาร ด้วยการดื่มน้ำ ดื่มกาแฟวันละ 1 แก้วกับแอปเปิลอีก 1 ลูก
Christian Bale ในบท John Preston จากหนัง ภาพยนตร์ Equilibrium ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545)
ที่มาภาพ : imdb.com
และหลังจากนั้นเจ้าตัวเพิ่มน้ำหนักมา 86 กิโลกรัมอีก เพื่อมารับบทในหนัง ภาพยนตร์ Batman Begins ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) ปีต่อมาก็ลดลงมาเหลือ 61 กิโลกรัมในหนัง ภาพยนตร์ Rescue Dawn ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) และเพิ่มขึ้นอีกในหนัง ภาพยนตร์ The Prestige ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) เป็น 80 กิโลกรัม ต่อด้วยการปั๊มน้ำหนักเพื่อมารับบทในภาคต่อกับหนัง ภาพยนตร์ The Dark Knight ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) เพิ่มอีกประมาณ 6 กิโลกรัม
Christian Bale ในบท Bruce Wayne/Batman จากหนัง ภาพยนตร์ Batman Begins ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548)
ที่มาภาพ : imdb.com
แต่ก็ต้องกลับมาลดน้ำหนักลงฮวบอีกครั้ง และในครั้งนี้เขาเหลือน้ำหนักเพียง 66 กิโลกรัม เพื่อมารับบทเทรนเนอร์ในหนัง ภาพยนตร์ The Fighter ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) และแน่นอนการกลับมารับบท Bruce Wayne ในหนังปิดไตรภาคอย่างหนัง ภาพยนตร์ The Dark Knight Rises ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) ทำให้เขาต้องเพิ่มน้ำหนักอีกกว่า 30 กิโลกรัมเลยทีเดียว
Christian Bale ในบท Dicky Eklund จากหนัง ภาพยนตร์ The Fighter ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553)
ที่มาภาพ : imdb.com
หลังจากนั้นก็เพิ่ม ๆ ลด ๆ มาอย่างต่อเนื่องทั้งใน American Hustle ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) กับน้ำหนัก 100 กิโลกรัม, The Big Short ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) กับน้ำหนัก 90 กิโลกรัม, Vice ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561) 108 กิโลกรัม
Christian Bale ในบท Dick Cheney จากหนัง ภาพยนตร์ Vice ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561)
ที่มาภาพ : imdb.com
Ford v Ferrari ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) ที่ลดลงมาอีกครั้งจนเหลือ 75 กิโลกรัม และใน Thor : Love and Thunder ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) กับรูปร่างสุดผอมในบท Gorr
Christian Bale ในบท Ken Miles จากหนัง ภาพยนตร์ Ford v Ferrari ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562)
ที่มาภาพ : imdb.com
น้ำหนักจริง ๆ ของ Bale อยู่ที่ประมาณ 84 กิโลกรัม ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมาเขาก็ลด ๆ เพิ่ม ๆ เป็นว่าเล่น จนในปี ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557) เขาเริ่มมีปัญหาทางด้านสุขภาพเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงด้านน้ำหนักที่รวดเร็วเกินไป จนเจ้าตัวเคยมาออกรายการ Sunday Morning แล้วบอกว่าเขาพอแล้วกับการต้องลด/เพิ่มน้ำหนักเพื่อมารับบทต่าง ๆ
ผมพูดอยู่เสมอว่าผมพอแล้ว ผมคิดจริง ๆ ว่าผมพอแล้วหล่ะ
Marlon Brando
ที่มาภาพ : imdb.com
Marlon Brando หนึ่งในนักแสดงที่หลายคนยกให้เป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล แถมยังเป็นคนแรก ๆ ที่ถูกขนานนามว่าเป็นนักแสดงสาย Method Acting ที่ได้มอบการแสดงที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนในขณะนั้น
เขาไม่ได้กลายสภาพเป็น Joker เหมือน Heath Ledger ทำในหนัง ภาพยนตร์ The Dark Knight ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551), ไม่ได้ทุ่มสุดตัวทำเป็นพิการจริง ๆ เหมือน Daniel Day-Lewis ในหนัง ภาพยนตร์ My Left Foot ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) แต่สิ่งที่ Brando ทำมันเหนือไปกว่านั้นเพราะการแสดงของเขามันส่งผลผ่านเลนส์ไปยังผู้ชมโดยคิดถึงการตอบสนองของผู้คนต่อการแสดงของเขาเลยทีเดียว โดยเขาได้อธิบายเรื่องนี้เอาไว้ว่า
อย่าให้ผู้ชมรู้ว่าจะมีการแสดงอะไรเกิดขึ้น ค่อยให้พวกเขารู้เมื่อถึงเวลา และเมื่อเวลานั้นมาถึงและทุกอย่างถูกต้อง คุณก็แค่ปลดปล่อยมัน แสดงให้พวกเขาดูด้วยทัศนคติ ด้วยคำพูด ด้วยภาพลักษณ์ ให้พวกเขาได้ประหลาดใจ คิดหาวิธีที่จะทำในแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน คุณต้องหยุดการเคลื่อนไหวที่หยิบป๊อปคอร์นมาเข้าปาก ทำให้ผู้คนหยุดเคี้ยว ความจริงจะทำแบบนั้นได้ เมื่อมันถูกมันควรคุณจะสัมผัสได้ถึงกระดูกเลยแหละ หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกถึงมันทั้งหมดและคุณจะรู้สึกดี
Brando เป็นหนึ่งในนักแสดงที่เรียนมากับ Stella Adler หนึ่งในคนที่เอาแนวคิด Method Acting มาใช้ในการสอนการแสดง แต่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของ Lee Strasberg โดยแนวทางของ Adler คือต้องให้นักแสดงหาความจริงเข้าถึงบทบาทจากบทที่ได้รับเอง ต้องทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ในแต่ละฉากศึกษาสิ่งต่าง ๆ ที่ช่วยเป็นแรงจูงใจผลักดันตัวละครของตนเอง ไม่ใช่การเป็นตัวละครนั้น
การแสดงของ Marlon Brando ในละครเวที A Streetcar Named Desire ค.ศ. 1947 (พ.ศ. 2490) ได้นำการแสดงมาสู่เวทีแบบที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน มันทั้งงดงาม และคาดเดาไม่ได้ แถมยังมากไปด้วยเสน่ห์ในทุกตัวละคร จนเคยมีคนกล่าวว่าการแสดงของเขาคือ “พรสวรรค์และอัจฉริยภาพโดยกำเนิดอย่างไม่น่าเชื่อ” แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะชอบ เพราะเพื่อนร่วมแสดงก็บอกว่า Brando มักเปลี่ยนบทสนทนาอย่างกระทันหัน เปลี่ยนอารมณ์ของซีนนั้น ๆ แต่การแสดงอันยอดเยี่ยมของเขาก็ตราตรึง จนมันทำให้เขาได้บทในฉบับหนังไปในปี ค.ศ. 1951 (พ.ศ. 2494) ไป และมันก็เป็นครั้งแรกที่ส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกด้วย
Marlon Brando ในบท Stanley จากหนัง ภาพยนตร์ A Streetcar Named Desire ค.ศ. 1951 (พ.ศ. 2494)
ที่มาภาพ : imdb.com
ดั่งการแสดงในหนัง ภาพยนตร์ The Men ค.ศ. 1950 (พ.ศ. 2493) ตัวของ Brando มารับบทเป็นทหารที่เสียขาไปในช่วงสงคราม ในการเตรียมตัวมารับบทเขาใช้เวลาหลายสัปดาห์ในวอร์ดของทหารผ่านศึกและฝึกใช้รถวีลแชร์ โดยที่ไม่บอกผู้ป่วยคนอื่น ๆ ว่าเขาเตรียมตัวมาเล่นหนัง ถือว่าเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายมาก เพราะในยุคนั้นไม่ค่อยมีนักแสดงคนไหนทุ่มเทถึงขนาดนี้
Marlon Brando ในบท Ken Wilocek จากหนัง ภาพยนตร์ The Men ค.ศ. 1950 (พ.ศ. 2493)
ที่มาภาพ : imdb.com
ในหนัง ภาพยนตร์ The Godfather ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) ไม่มีใครปฏิเสธว่าการแสดงของ Brando ในบทบาท Don Vito Corleone คือสุดยอดการแสดงที่มากไปด้วยเสน่ห์และน่าหลงไหล จนน่าทึ่ง Brando ต้องการให้ตัวละครของเขาเหมือนหมา Bulldog เขาจึงยัดสำลีไว้ในปากตอนออดิชั่น พอตอนถ่ายทำจริง ๆ เขาก็ได้ชิ้นส่วนหนึ่งในปากทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อเสริมกรามของเขาที่ทำโดยทันตแพทย์มาใช้ ซึ่งชิ้นส่วนนี้ได้จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ American Museum of the Moving Image ใน Queens ที่ New York
Marlon Brando ในบท Don Vito Corleone จากหนัง ภาพยนตร์ The Godfather ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515)
ที่มาภาพ : imdb.com
การแสดงของ Brando ในเรื่องนี้ เขาไม่ได้ท่องจำบท แต่เขาอ่านจากการ์ดที่ถูกซ่อนไว้ตามจุดต่าง ๆ ในระหว่างถ่ายทำ หลายคนมองว่าเขาขี้เกียจและไม่อยากท่องจำบท แต่ในความเป็นจริง ตัวของ Brando ทำแบบนี้บ่อย และเค้าเชื่อว่าการทำแบบนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเขา เพื่อให้ได้ความรู้สึกและการแสดงที่แท้จริงจากบทนั้น ๆ โดยไม่ต้องคอยประดิษฐ์ความรู้สึกขึ้นมาใหม่
และแน่นอนว่าการแสดงอันยอดเยี่ยมของเขาก็ส่งให้คว้ารางวัลออสการ์มาครอบครอง แต่ถึงกระนั้นเจ้าตัวขอไม่ขึ้นรับรางวัล โดยเขาให้ Sacheen Littlefeather (Marie Louise Cruz) ชนพื้นเมืองอเมริกัน เป็นตัวแทนของเขาขึ้นมาบนเวทีแทน โดยเธอปฏิเสธรางวัลออสการ์และได้กล่าวถึงการปฏิบัติต่อชนพื้นเมืองอเมริกันอย่างทารุณในอุตสาหกรรมภาพยนตร์
Sacheen Littlefeather ตัวแทน Marlon Brando ขึ้นพูดเรื่องการปฏิบัติต่อชนพื้นเมืองอเมริกัน
Al Pacino
ที่มาภาพ : goldderby.com
Al Pacino เป็นหนึ่งในนักแสดงสาย Method Acting ที่ได้เรียนศาสตร์นี้มาจาก Actors Studio ของ Lee Strasberg และฝากการแสดงอันน่าทึ่งมากมาย จนคนรอบตัวคิดว่า Al Pacino จะไม่กลับมาเป็นตัวเองซะแล้ว
Sidney Lumet ผู้กำกับที่เคยร่วมงานกันในหนัง ภาพยนตร์ Serpico ค.ศ. 1973 (พ.ศ. 2516) และหนัง ภาพยนตร์ Dog Day Afternoon ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) เคยบอกเอาไว้ว่า “ถ้าวันนั้นเขาได้รับคำสั่งให้แสดงเป็นคนบ้า เขาก็จะบ้าแบบนั้นทั้งวันเลย”
หนัง ภาพยนตร์ The Godfather ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) หนังแจ้งเกิดของ Al Pacino อย่างแท้จริง คุณภาพการแสดงของเขาในบท Michael Corleone นับว่าอยู่ในระดับที่สุดยอด มีการพัฒนาตัวละครผ่านการแสดงของเขาอย่างชัดเจน นับตั้งแต่ก่อนที่ตัวละครจะฆ่าครั้งแรก ไปจนหลังจากนั้น เราจะเห็น Al Pacino ในบท Michael Corleone เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยไม่ต้องมีอะไรบรรยายหรือแม้แต่พูดสักคำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนี้
Al Pacino ในบท Michael Corleone จากหนัง ภาพยนตร์ The Godfather ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515)
ที่มาภาพ : imdb.com
หนัง ภาพยนตร์ Serpico ค.ศ. 1973 (พ.ศ. 2516) เรื่องราวของตำรวจผู้ซี่อสัตย์แห่งนคร New York จัดการทุกเรื่องราวที่เป็นมลทินแต่นั่นมันหมายความว่าไปเตะขาตำรวจผู้เกี่ยวข้อง จนทำให้ตำรวจด้วยกันเองหมายเล่นงานเขา ในการเตรียมตัวมารับบท Frank Sepico ของ Al Pacino เขาได้เชิญ Frank Serpico ตัวจริงมาอยู่กับเขาที่บ้านที่เขาเช่าไว้ที่ Montauk, New York เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจตัวละครที่เขากำลังจะเป็น
Al Pacino ในบท Serpico จากหนัง ภาพยนตร์ Serpico ค.ศ. 1973 (พ.ศ. 2516)
ที่มาภาพ : imdb.com
ทีมงานต่างบอกว่า Al Pacino ไม่ยอมออกจากตัวละครนี้เลยแม้กระทั่งหลังกล้องก็ตาม และเขาก็ไปสุดจริง ๆ เพราะเขาสวมบทบาทนี้ออกไปตรวจตราผู้กระทำความผิดในระแวกบ้าน โดยมีครั้งนึงเขาโบกรถบรรทุกให้จอด และดึงคนขับรถบรรทุกออกมาพร้อมขู่ว่าจะจับเขาข้อหาที่ท่อไอเสียของเขาเป็นมลพิษต่ออากาศ
หรืออย่างในหนัง ภาพยนตร์ Scent of a Woman ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) Al Pacino ก็เตรียมตัวมารับบท Frank Slade อดีตนายทหารที่ประสบอุบัติเหตุจนสูญเสียการมองเห็น ซึ่งเขาก็มาเตรียมตัวรับบทโดยการไปเรียนจากโรงเรียนสอนคนตาบอด ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าการที่จะทำให้เหมือนเขาต้องไม่ใช้สายตาโฟกัสกับอะไรตรงหน้าเลย ไม่ใช่แค่ในฉากเท่านั้น หลายครั้งนอกฉาก เขายังใช้ไม้เท้าเดินและไม่มองหน้าใครเลยในขณะที่คุยกับคนอื่น และการแสดงอันยอดเยี่ยมของเขาในเรื่องนี้ส่งให้เขาคว้ารางวัลออสการ์ครั้งแรกในชีวิตมาครอบครอง หลังจากเข้าชิงมาอยู่นาน
Al Pacino ในบท Frank Slade จากหนัง ภาพยนตร์ Scent of a Women ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535)
ที่มาภาพ : imdb.com
Robert De Niro
ที่มาภาพ : imdb.com
หนึ่งในนักเรียนของสถาบันสอนการแสดง Stella Adler Conservatory และ Actors Studio ของ Lee Strasberg ดาราจอมเก๋าอย่าง Robert De Niro ที่ได้ฝากผลงานอันยอดเยี่ยมเอาไว้มากมาย
จากหนังสร้างชื่ออย่าง The Godfather Part II ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517) กับบทบาท Vito Corleone ในขั้นตอนการเตรียมรับบท เขาได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ Sicily ที่ประเทศอิตาลีจริง ๆ เป็นระยะเวลา 3 เดือน เขาฝึกภาษา, เลียนสำเนียง และกิริยามารยาทต่าง ๆ ของคนอิตาลีจริง ๆ เพื่อมาใช้รับบท และผลคือมันส่งให้เขาคว้ารางวัลออสการ์ครั้งแรกในชีวิตมาครอบครอง
Robert De Niro รับบท Vito Corleone ในหนัง ภาพยนตร์ The Godfather Part II ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517)
ที่มาภาพ : imdb.com
ใน Taxi Driver ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519) De Niro ต้องมารับบท Travis Bickle คนขับรถแท็กซี่ที่เป็นทหารผ่านศึกจิตไม่ปกติ นอกจากเขาจะต้องลดน้ำหนักประมาณ 30 ปอนด์ เขาได้ไปขับแท็กซี่จริง ๆ ด้วย เขาขับวันละ 15 ชั่วโมงตลอดทั้งเดือน เพื่อศึกษาพฤติกรรมและดูว่าในแต่ละวันต้องเจออะไรบ้าง แถมยังศึกษาอาการของผู้ป่วยทางจิตโดยการไปเยี่ยมที่ฐานทัพทหาร US Army ใน Northern Italy และอัดเสียงที่ได้สนทนากับทหารที่อยู่ที่นั่น เพื่อเรียนรู้สำเนียงและวิธีการพูดอีกด้วย
Robert De Nero ในบท Travis Bickle จากหนัง ภาพยนตร์ Taxi Driver ค.ศ. 1976 (2519)
ที่มาภาพ : imdb.com
ตามมาด้วยใน Raging Bull ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523) เรื่องราวชีวประวัติของนักชกนามว่า Jake LaMotta เพื่อเป็นการเข้าถึงบทบาท De Niro ได้เริ่มโปรแกรมไดเอท และฝึกร่างกายอย่างจริงจังเพื่อให้ได้น้ำหนัก 60 ปอนด์ แถมยังเข้าร่วมการแข่งขันชกมวยจริง ๆ ที่ Brooklyn ถึง 3 นัด ผลคือเขาชนะ 2 จาก 3 นัด และเรื่องนี้ก็ส่งให้เขาคว้ารางวัลออสการ์เป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตอีกด้วย
Robert De Niro ในบท Jake La Motta จากหนัง ภาพยนตร์ Raging Bull ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523)
ที่มาภาพ : imdb.com
Dustin Hoffman
ที่มาภาพ : forbes.com
มีคนกล่าวว่า หากจะพูดถึง Method acting ที่เกินเลยไป ให้ถาม Dustin Hoffman สิ
ยกตัวอย่างจากหนัง ภาพยนตร์ Kramer vs Kramer ในปี ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522) หนังเรื่องนี้ Hoffman มารับบทเป็น Ted Kramer ที่เพิ่งหย่ากับภรรยา Joanna Kramer ที่รับบทโดย Meryl Streep และแย่งชิงสิทธิในการเลี้ยงลูก
Dustin Hoffman ในบท Ted Kramer จากหนัง ภาพยนตร์ Kramer vs. Kramer ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522)
ที่มาภาพ : imdb.com
ดั่งเช่นก่อนถ่ายทำฉากนึงในหนังเป็นฉากที่ Joanna กำลังจะทิ้ง Ted ไป โดยฉากนั้นก่อนจะออกไปที่โถงทางเดิน Hoffman ก็ได้ตบหน้าของ Streep จริง ๆ จนเป็นรอยแดงเลย ถึงเป็นอย่างนั้น Streep ก็แสดงต่อจนจบฉากนั้น
ฉากที่โถงทางเดินและในลิฟท์ หลังจากเกิดเหตุการณ์นอกฉาก
จากหนัง ภาพยนตร์ Kramer vs. Kramer ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522)
แถมฉากน้ำตาไหลในลิฟท์ Hoffman พูดแทงใจดำ Streep เกี่ยวกับ John Cazale อดีตสามีของเธอ ด้วยการพูดถึงเรื่องมะเร็งและการเสียชีวิตของเขา โดยเขาใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้เพื่อให้ Streep แสดงออกทางอารมณ์และนำไปใช้แสดงในหนังได้ หลังจากทำแบบนั้น Streep ก็โมโหและเดินออกจากกองถ่ายไปเลย
เท่านั้นยังไม่พอ มีฉากนึงที่ตัวละคร Ted กับ Joanna นั่งคุยกันเรื่องลูก แล้วตกลงกันไม่ได้ ทาง Hoffman จึงปัดแก้วใส่กำแพงอย่างแรง จนทำให้ Streep ตกใจกลัวจริง ๆ ซึ่งการทำแบบนี้ทาง Hoffman ได้บอกไว้เพียงแต่ตากล้องเท่านั้นและไม่ได้บอก Streep แต่อยางใด
แน่นอนว่า Streep ออกมาพูดเรื่องนี้ว่าการกระทำของ Hoffman มันล้ำเส้นเกินไป
Meryl Streep ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องของ Dustin Hoffman ในรายการ Friday Night With Jonathan Ross
ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะส่งให้ทั้ง Hoffman และ Streep คว้ารางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำ แต่ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง การแสดงของ Hoffman ในความเป็น Method acting ในเรื่องนี้มันก็เกินไปจริง ๆ
หนัง ภาพยนตร์ Tootsie ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) บอกเล่าเรื่องราวของดาราชายที่ตกอับ ที่ปลอมตัวเป็นผู้หญิงและเข้าวงการใหม่อีกครั้ง จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ Hoffman มารับบท Michael Dorsey/Dorothy Michaels โดยเขาเคยทดลองบทบาทนี้ด้วยการแต่งตัวเป็น Dorothy และไปรับลูกสาวที่โรงเรียนในตอนเย็น การแสดงของเขายอดเยี่ยมมากจนทั้งครูและผู้ปกครองคนอื่นไม่มีใครสงสัยเลย
Dustin Hoffman ในบท Dorothy Michaels จากหนัง ภาพยนตร์ Tootsie ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525)
ที่มาภาพ : imdb.com
Hoffman เปิดเผยว่า หลังจากที่เขาได้แสดงในหนังเรื่องนี้เป็นครั้งแรก เขากลับบ้านไป และน้ำตาแตกเลยทีเดียว เขาสารภาพกับภรรยาว่าการที่เขาได้แสดงเป็นเหมือนผู้หญิงในเรื่องนี้ มันทำให้เขาเผชิญหน้ากับมุมมองของเพศหญิงที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน
ที่สำคัญทีมงานมักจะเข้าหา Hoffman ในขณะแต่งเป็นหญิงมากกว่า เพราะพวกเขาบอกว่า “ตอนแต่งเป็นหญิง Hoffman จะดูน่าคุยกว่าเยอะ”
ในหนัง ภาพยนตร์ Rain Man ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) ในการเตรียมตัวมารับบท Raymond Babbitt ชายผู้ป่วยออทิสติก เขาจึงเตรียมตัวรับบทนี้ด้วยการไปใช้เวลาอยู่กับ Kim Peek ชายผู้เป็นออทิสติกจริง ๆ เพื่อทำความเข้าใจในทุกแง่มุมชีวิตของผู้เป็นออทิสติก Peek คือคนที่เป็นต้นแบบให้ตัวละคร Raymond ซึ่งการแสดงของเขาในครั้งนี้ก็ส่งให้เขาคว้ารางวัลออสการ์มาครอบครอง รวมถึง Peek ในฐานะที่เป็นต้นแบบของตัวละครในเรื่องนี้ก็ได้ออกเดินทางไปทั่วอเมริกาพบปะผู้คนมากมาย ที่มันได้ประทับความสุขและรอยยิ้มให้กับเขาไม่รู้ลืม
Dustin Hoffman ในบท Raymond Babbitt จากหนัง ภาพยนตร์ Rain Man ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531)
ที่มาภาพ : imdb.com
Kim Peek (ซ้ายสุด) และ Dustin Hoffman (คนที่ 2 จากขวา)
ที่มาภาพ : focusproductions.co.uk
Jim Carrey
ที่มาภาพ : the-sun.com
Jim Carrey นักแสดงตลกชื่อดังที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนในด้านการแสดงด้วยความเล่นใหญ่อยู่เสมอ แต่ครั้งนึงเค้าก็เป็นนักแสดงสายรางวัล ที่เคยแสดงแบบ Method Acting ที่ถลำลึกเกินไปเสียหน่อย
ในปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) เขามารับบท Andy Kaufman ในหนัง ภาพยนตร์ Man on the Moon เป็นเรื่องราวดราม่าชีวประวัติของนักแสดงตลกที่ได้รับการยกย่องว่าเพี้ยนที่สุดแห่งยุค สุดโต่งสุด ๆ และมีหลายคนก็ไม่ตลกกับเขา จนคนไม่สามารถแยกได้ว่ามันคือการแสดงหรือตัวตนเขาจริง ๆ และ Carrey ก็ไม่เพียงแต่แสดงเป็นเขา แต่เขาแทบจะกลายเป็น Kaufman ราวกับโดนวิญญาณของ Kaufman สิงยังไงยังงั้น เมื่อสั่งคัทแล้ว เขาก็ยังคงคาแรคเตอร์ Kaufman อยู่ ที่มันไม่เพียงส่งผลโดยตรงกับเขาเท่านั้น เพราะมันยังส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างอย่างมากเลยทีเดียว
Jim Carrey ในบท Andy Kaufman จากหนัง ภาพยนตร์ Man on the Moon ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542)
ที่มาภาพ : imdb.com
เรื่องราวนี้ได้ถูกถ่ายทอดเป็นหนังสารคดีเข้าฉายทาง Netflix ในหนัง ภาพยนตร์ สารคดี Jim & Andy : The Great Beyond ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) เป็นเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังในกองถ่ายหนัง Man on the Moon โดย Carrey บอกว่าคนที่รับบทนั้นไม่ใช่เขา แต่เป็น Andy ที่มาเล่นบทตัวเอง
เริ่มจาก Carrey บอกให้ทุกคนเรียกเขาว่า “Andy” เพราะเขาคือ Andy จริง ๆ จนเพื่อนร่วมแสดงอย่าง Danny Devito และ Paul Giamatti ถึงกับงุนงงเลยทีเดียวแต่ก็บอกว่าเหมือน Andy อย่างน่าขนลุก แต่การไม่ยอมออกจากคาแรคเตอร์แบบนี้มันได้สร้างความปวดหัวให้ทีมงานไม่น้อยเลย ไล่ไปตั้งแต่ผู้กำกับ เพื่อนนักแสดง ยันช่างแต่งหน้าเลยทีเดียว แถมยังเคยบุกไปสร้างความปั่นป่วนที่บ้านพักของ Steven Spielberg และคฤหาสถ์เพลบอยของ Hugh Hefner
ครั้งนึง Carrey (หรือจะให้เรียกว่า Andy) เคยมีปัญหากับ Jerry “The King” Lawler ในกองถ่าย เพราะชีวิตจริง Kaufman มักจะชอบท้าผู้หญิงมาเล่นมวยปล้ำด้วย และครั้งนึงดันไปท้า Lawler จนเกิดเป็นแมตซ์ขึ้นมา ในกองถ่าย Carrey เลยละลาน Lawler ทุกทาง ทั้งพูดจาถากถาง สร้างความปั่นป่วน จนเกือบวางมวยใส่กันกลางกองถ่ายหลายรอบเลยทีเดียว จนมีครั้งนึงทำให้ Carrey ได้ยั่วยุและถุยน้ำลายใส่หน้า Lawler และนั่นก็เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้น จนทำให้ Carrey ต้องถูกหามส่งโรงพยาบาล ต่อมา Carrey ไม่ต้องการร่วมงานกับ Lawler อีก และบอกให้ไล่เขาออกซะ
จนมันมีฉากนึงในหนังที่เป็นฉากในรายการทอล์คโชว์ Lawler กับ Andy จะมาร่วมรายการด้วยกัน และ Lawler จะตบหน้า Andy ซึ่งตามสคริปท์แล้วต้องตบแบบไม่โดน แต่ Carrey ไปกระซิบบอกว่า ตบจริง ๆ มาเลย และแน่นอนว่าฉากที่เราได้เห็นกันในหนังคือการตบแบบจริง ๆ
หรือแม้กระทั่งการแสดงวาระสุดท้ายของ Andy ตัวของ Carrey ก็ทำตัวเหมือนคนป่วยจริง ๆ ทีมงานต้องมาช่วยเข็นรถเข็น พยุงเวลาเดิน รวมถึงเหล่านักแสดง ก็รู้สึกสงสารเห็นอกเห็นใจ ราวกับว่ากำลังจะได้เห็น Andy จากโลกนี้ไปอีกครั้ง
และถึงแม้ Jim Carrey จะถลำลึกและทำให้ทุกคนปวดหัวแค่ไหน แต่มันก็ส่งให้เขาคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเวทีลูกโลกทองคำ แต่ก็ยังโดนจวกซะยับจากนักแสดงอย่าง Martin Freeman ว่าเป็นพวกมือสมัครเล่น ที่หลงตัวเอง
และในสารคดี Jim & Andy : The Great Beyond เขาได้พูดทิ้งท้ายไว้ว่า “ผมสงสัยว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าผมตัดสินใจเป็นพระเยซู” …คิดไม่ออกเลยจริง ๆ
ตัวอย่างหนัง ภาพยนตร์ สารคดี Jim & Andy : The Great Beyond
Adiren Brody
ที่มาภาพ : thetimes.co.uk
สื่อหลายต่อหลายเจ้าต่างก็ตั้งคำถามว่า Adrien Brody ถลำลึกกับการแสดงในหนัง ภาพยนตร์ The Painist ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545) มากเกินไปหรือเปล่า ? ซึ่งคำตอบก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
The Pianist ว่าด้วยเรื่องราวของ Wladyslaw Szpilman นักเปียโนชาวโปแลนด์เชื้อสายยิว ที่ชีวิตดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ แต่แล้วการมาของสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป เมื่อเหล่าทหารนาซีบุกยึดโปแลนด์ ทำให้เขาต้องเอาชีวิตรอดท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้ายนี้
Adrien Brody ในบท Wladyslaw Szpilman จากหนัง ภาพยนตร์ The Pianist ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545)
ที่มาภาพ : imdb.com
Brody รู้ดีว่าเขาไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงที่ Szpilman ต้องเผชิญในขณะนั้น เขาจึงพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะเข้าไปใกล้เคียงกับความรู้สึกนั้น ขั้นแรกเขาจึงฝึกเล่นเปียโนอย่างจริงจัง ต่อมาเขาลดน้ำหนักลง 30 ปอนด์ เพื่อให้เข้าใจถึงความอดอยากที่ตัวละครต้องเผชิญ โดยตัวของเขาเองยืนกรานว่าสิ่งนี้มันจำเป็นในการรับบท Szpilman
มีความว่างเปล่าที่เข้ามาพร้อมกับความอดอยากที่ผมไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน
ผมไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้โดยไม่รู้ตัว ผมเคยสูญเสีย ผมเคยเศร้าใจในชีวิต แต่ผมไม่เคยรับรู้ถึงความสิ้นหวังที่มันมาพร้อมกับความหิวโหยเลย
- Brody ให้สัมภาษณ์กับ BBC เกี่ยวกับเรื่อง The Pianist
เท่านั้นยังไม่พอ Brody ยังรู้สึกว่าเขาต้องปลูกฝังความโดดเดี่ยวจริง ๆ และละทิ้งความสะดวกสบายของชีวิต ด้วยจึงตัดสินใจทิ้งรถของเขา, ย้ายออกจากอพาร์ทเมนต์, เลิกใช้โทรศัพท์ และย้ายไปยุโรป ซึ่งการทุ่มเทอย่างสุดตัวของเขาก็ทำให้แฟนสาวของเขาบอกเลิกเขาในเวลาไม่นาน
Adrien Brody ในบท Wladyslaw Szpilman จากหนัง ภาพยนตร์ The Pianist ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545)
ที่มาภาพ : imdb.com
Brody รู้ถึงความท้าทายทั้งหมดที่มาพร้อมกับการรับบทนี้ เขารู้สึกว่าต้องผลักดันตัวเองให้ถึงขีดจำกัดเพื่อยกย่องการต่อสู้ของชาวยิวในโปแลนด์ที่กรุง Warsaw ณ ตอนนั้น แม้ว่าเขารู้ตัวว่าการที่เขาทำแบบนี้มันไมได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่พวกเขาเจอ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่า
ผมอยู่ในที่ที่มืดมน เศร้าหมอง ดิบเถื่อน ทั้งวัน ทุกวัน ไม่มีช่วงเวลาไหนที่ความรู้สึกเหล่านั้นหายไปเลย มีเพียงแค่ช่วงเวลานอนเท่านั้น ความรู้สึกเหล่านั้นมันทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยและหมดพลัง แต่มันก็เป็นราคาที่ต้องจ่ายในการมารับบทนี้
และ Method Acting ของ Brody มันก็ส่งผลกับชีวิตเขาอย่างมาก เพราะหลังจากการแสดงใน The Pianist ก็ทำให้เขาต้องรับมือกับภาวะซึมเศร้า หลายความคิดวนเวียนทุกค่ำคืน กับเรื่องราวที่ชาวยิวต้องเผชิญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยตัวเขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
มันไม่ใช่แค่ความหดหู่ มันคือความโศกเศร้าด้วยเช่นกัน
ถึงแม้เขาจะคว้ารางวัลออสการ์มาครอบครองเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต แต่มันคุ้มกับสิ่งที่เขาเผชิญกับการทุ่มสุดตัวครั้งนี้ไหมนะ ?
Heath Ledger
ที่มาภาพ : latimes.com
Heath เป็นเพื่อนของผม ดังนั้นเมื่อผมได้ดูหนังเรื่องนี้ผมไม่ได้ตระหนักเรื่องการเสียบทให้เขา แต่ผมตระหนักเรื่องการเสียเขาไปต่างหาก
- Adrien Brody พูดถึง Heath Ledger ในบท The Joker จาก The Dark Knight
ก่อนที่ Ledger จะได้บทนี้ไปครอบครอง จริง ๆ แล้วคนที่เป็นตัวเลือกก่อนเขาก็คือ Adrien Brody ซึ่งพอ Brody ได้ดูเรื่องนี้ก็บอกว่า Ledger แสดงได้ดีมาก
อีกหนึ่งนักแสดงที่การแสดงแบบ Method Acting ได้ส่งผลต่อสุขภาพและสภาพจิตใจ แต่คราวนี้มันส่งผลอย่างหนักเลยทีเดียว…เรากำลังพูดถึง Heath Ledger ในบทบาท The Crown Prince of Crime หรือ The Joker ใน หนัง ภาพยนตร์ The Dark Knight ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) ที่หลังจากเรื่องนี้เขาก็ได้เสียชีวิตลง
Heath Ledger ในบท Joker จากหนัง ภาพยนตร์ The Dark Knight ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551)
ที่มาภาพ : imdb.com
ในขั้นเตรียมการถ่ายทำ Ledger ก็ได้ขังตัวเองอยู่ในห้องที่โรงแรมใน London ประเทศอังกฤษเป็นเดือน เขียนไดอารี่และทดลองใช้เสียงต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับตัวละครที่เขาได้รับ แน่นอนว่าผลการแสดงของเขาน่าประทับใจอย่างสุด ๆ เป็นหนึ่งในยอดการแสดงจนส่งให้เขาคว้ารางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำ แต่หลังจากถ่ายทำเสร็จเขาก็เสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาด โดยที่ไม่มีสิทธิได้มารับรางวัลด้วยซ้ำ เป็นครอบครัวที่ขึ้นมารับรางวัลแทน
Heath Ledger คว้ารางวัลออสการ์ ในงานครั้งที่ 81 ประจำปี ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552)
Joaquin Phoenix
ที่มาภาพ : imdb.com
ว่ากันว่า Joaquin Phoenix แยกชีวิตตัวละครออกจากชีวิตตัวเองโดยสิ้นเชิง
เริ่มตั้งแต่การมารับบทนักดับเพลิงในหนัง ภาพยนตร์ Ladder 49 ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) เขาไม่เพียงแต่สัมภาษณ์นักดับเพลิงเท่านั้น แต่เขาไปเป็นนักดับเพลิงจริง ๆ เขาได้ไปเรียนที่ Baltimore Fire Academy และเรียนจบด้วย เขาก็ได้ไปใช้ชีวิตออกปฏิบัติงานกับนักดับเพลิงจริง ๆ แถมเขายังมีรอยสักมาสคอตประจำหน่วยดับเพลิงนั้นด้วย
Joaquin Phoenix ในบท Jack Morrison จากหนัง ภาพยนตร์ Ladder 49 ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547)
ที่มาภาพ : imdb.com
ในหนัง ภาพยนตร์ Walk the Line ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) เขารับบทเป็น Johnny Cash ชายเสียงต่ำ ซึ่งขัดกับตัวจริงของ Phoenix ที่เสียงค่อนข้างสูง เพื่อปรับระดับเสียงตัวเองเขาจึงฟังเพลงและดูการสัมภาษณ์ของ Cash อย่างต่อเนื่อง เขายังคงรักษาคาแรคเตอร์อย่างต่อเนื่องตลอดการถ่ายทำ โดยมักเล่นกีตาร์ตลอดเวลาที่ว่าง และยังให้ทุกคนเรียกเขาว่า J.R. ชื่อจริงของ Johnny Cash
Joaquin Phoenix ในบท Johnny Cash จากหนัง ภาพยนตร์ Walk the Line ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548)
ที่มาภาพ : imdb.com
หรือจะอย่างในหนัง ภาพยนตร์ The Master ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) เขารับบทเป็น Freddy Quell นายทหารผ่านศึกจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เขามักจะไม่ออกจากคาแรคเตอร์นี้และมักจะทำร้ายตัวเองในบางฉากในการถ่ายทำด้วย ด้วยรูปลักษณ์ของตัวละครที่กรามจะติดกัน Phoenix จึงไปหาทันตแพทย์ ทำให้เขาติด brackets และยางไว้บนฟันเพื่อให้กรามของปิดอยู่แบบนั้น เท่านั้นยังไม่พอ เขาได้ดูคลิปวิดีโอเกี่ยวกับสัตว์ที่ถูกจับ เพื่อศึกษาสภาพจิตใจของตัวละครที่เขาเล่นว่าจะต้องโดนจับ ผลคือเค้าเข้าถึงอารมณ์ของความเกรี้ยวกราดและเศร้าโศก พอถ่ายทำฉากนั้นเขาก็ระเบิดอารมณ์ทำลายส้วมในฉากนั้นจริง ๆ เลย
Joaquin Phoenix ในบท Freddy Quell จากหนัง ภาพยนตร์ The Master ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ที่มาภาพ : imdb.com
หรืออย่างในหนัง ภาพยนตร์ Joker ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) กับบทบาท Arthur Fleck ที่น่าจะเป็น Method ที่ชัดที่สุดเรื่องนึงของตัวเขา เริ่มจากการที่เขาลดน้ำหนักลงไป 52 ปอนด์ และมันก็ส่งผลถึงสภาพจิตใจของเขาเพราะใช้เวลาระยะสั้นลดน้ำหนักขนาดนั้น
โดยสิ่งสำคัญของการเล่นตัวละครนี้ คือเสียงหัวเราะสุดโรคจิต Phoenix จึงได้นั่งดูศึกษาผู้ป่วยทางจิตเวชที่มีความผิดปกติทางระบบประสาทกับโรคที่เรียกว่า PLC (Pathological Laughter and Crying) เป็นภาวะที่มีการแสดงออกทางอารมณ์มากผิดปกติ และไม่สามารถควบคุมได้ เช่นการหัวเราะในเรื่องเศร้า เขาได้เรียนรู้และนำมันมาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยมในการถ่ายทำ ผลจากการแสดงในเรื่องนี้ทำให้เขาคว้ารางวัลออสการ์และรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
Joaquin Phoenix ในบท Arthur Fleck จากหนัง ภาพยนตร์ Joker ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562)
ที่มาภาพ : imdb.com
Jared Leto
ที่มาภาพ : britannica.com
Jared Leto ที่เป็นหนึ่งในนักแสดงที่ทุ่มเทมาก ๆ ให้กับทุกบทบาทที่ได้รับ ถึงแม้ว่าบางบทบาทจะไม่ส่งเขาก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าเขาคือนักแสดงสาย Method Acting อย่างแท้จริง
หนัง ภาพยนตร์ Requiem for a Dream ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) คือหนังที่ทำให้ผมรู้จัก Jared Leto เป็นหนังของ Darren Aronofsky ที่เป็นหนังครูสอนภาพยนตร์ของใครหลายคน กับเรื่องราวของความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่บั่นทอนความฝันแบบไม่มีชิ้นดี
Leto มารับบทเป็น Harry Goldfarb ชายผู้ขายและติดยาอย่างหนัก เขาลดน้ำหนักไป 28 ปอนด์ และออกไปใช้ชีวิตอยู่ข้างถนนใน New York จริง ๆ เพื่อเตรียมตัวมารับบทขี้ยานี้ รวมถึงการงดมี Sex เพื่อทำให้ความอยากตอนแสดงมันสมจริงมากขึ้น
Jared Leto ในบท Harry Goldfarb จากหนัง ภาพยนตร์ Requiem for a Dream ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543)
ที่มาภาพ : imdb.com
ผมอยู่ในสภาพที่หิวตลอดเวลาเหมือนตัวละครของผมเลย
ผมเป็นทุกข์ มันทั้งเจ็บปวด ทั้งมืดมิด แต่มันก็คุ้มค่า
- Leto เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับ BBC
ในหนัง ภาพยนตร์ Chapter 27 ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550) เขาต้องมารับบท Mark David Chapman ชายผู้สังหาร John Lennon ซึ่งในเรื่องนี้เขาต้องเพิ่มน้ำหนัก 67 ปอนด์ และการเพิ่มน้ำหนักครั้งนี้ทำให้เขาเป็นโรคเกาต์และต้องใช้วีลแชร์เลยทีเดียว
Jared Leto ในบท Mark David Chapman จากหนัง ภาพยนตร์ Chapter 27 ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550)
ที่มาภาพ : imdb.com
ผมไม่สามารถเดินในระยะทางไกล ๆ ได้
ผมต้องนั่งวีลแชร์เพราะมันเจ็บปวดมาก ร่างกายของผมช็อคจากสภาพน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
- Leto ให้สัมภาษณ์กับ Digital Spy
และเขาให้คำมั่นว่าจะไม่เพิ่มน้ำหนักมาก ๆ ขนาดนี้อีก…แต่เขาทำตรงกันข้าม
ในหนัง ภาพยนตร์ Dallas Buyers Club ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) เจ้าตัวคว้ารางวัลออกสาร์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม เขาลดน้ำหนักลงมา 30 ปอนด์เพื่อมารับบทเป็น Rayon หญิงข้ามเพศ แต่เจ้าตัวไม่ได้แค่ลดน้ำหนักเท่านั้น เพราะเวลาถ่ายทำเสร็จ เขาก็ยังคงคาแรคเตอร์นี้อยู่ไม่ว่าจะไปไหนก็ตาม
Jared Leto ในบท Rayon จากหนัง ภาพยนตร์ Dallas Buyers Club ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556)
ที่มาภาพ : imdb.com
หนัง ภาพยนตร์ Suicide Squad ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) กับบทบาท Joker หลายคนน่าจะเคยได้ยินกิตติศัพท์ความเพี้ยนของเจ้าตัวมาบ้าง ทั้งการส่งกระสุน, ถุงยางและ Sextoy ใช้แล้วให้ Will Smith และ Margot Robbie, ส่งหมูตายให้ Viola Davis, ส่งหนังสือ Playboy สกปรกให้คนอื่นอีก โดยเขาให้สัมภาษณ์ว่าอยากสร้างไดนามิกให้กับตัวละคร Joker
Jared Leto ในบท Joker จากหนัง ภาพยนตร์ Suicide Squad ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559)
ที่มาภาพ : imdb.com
ผมเล่นเป็น Joker มันเป็นเรื่องโอเคที่เล่นมุกบ้าง มันไม่ได้มีอะไรข้ามเส้นเลย และมันไม่ใช่เรื่องของคนอื่นในโลกอินเทอร์เน็ตที่จะมาขีดเส้นนั้น
ผมเป็นศิลปินจนท้ายที่สุดของวัน ถ้าผมทำอะไรเสี่ยง ๆ แล้วคุณไม่ชอบมัน มา Kiss my ass ซะสิ
- Leto ให้ส้มภาษณ์กับ EW
และ Leto ยังคงทุ่มเทในทุกบทบาทที่เขาได้รับอยู่เสมอ
Daniel Day-Lewis
ที่มาภาพ : telegraph.co.uk
และปิดท้ายกันไปด้วยนักแสดงเจ้าพ่อสาย Method Acting ที่แท้ทรู ณ ตอนนี้เจ้าตัวได้ขอวางมือจากแวดวงการแสดงเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่มีเขาในลิสต์ถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก กับนักแสดงอย่าง Daniel Day-Lewis ที่ทุ่มเทอย่างมากด้วยความหลงไหลในทุกบทบาท
ยกตัวอย่างในหนังที่เขาแสดงกับหนัง ภาพยนตร์ My Left Foot ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) Day-Lewis ใช้เวลา 8 สัปดาห์ในคลินิกสำหรับผู้ป่วยสมองพิการ เพื่อเตรียมตัวในการมารับบท Christy Brown ศิลปินพิการในเรื่องนี้ แถมในกองถ่ายเขายังนั่งวีลแชร์ไปไหนมาไหนจริง ๆ จนทำให้ทีมงานหลายคนต้องช่วยเหลือด้วยการเข็นเขาไปมาด้วย แถมเจ้าตัวยังต้องให้คนอื่นป้อนอาหารให้อีกต่างหาก เพื่อที่เขาจะได้สัมผัสประสบการณ์ของตัวละครนี้จริง ๆ
Daniel Day-Lewis ในบท Christy Brown จากหนัง ภาพยนตร์ My Left Foot ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532)
ที่มาภาพ : imdb.com
หรืออย่างในหนัง ภาพยนตร์ The Last of the Mohicans ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) เจ้าตัวก็ไปอาศัยอยู่ในป่าแถบ North Carolina จริง ๆ เป็นเดือน และในระหว่างที่อยู่ที่นั่นเขาเรียนรู้การล่าสัตว์, ถลกหนังสัตว์, ต่อสู้ด้วยขวาน Tomahawks, ฝึกวิ่งและฝึกยิงปืน Flintlock ที่หนัก 12 ปอนด์
Daniel Day-Lewis ในบท Hawkeye (Nathaniel Poe)
จากหนัง ภาพยนตร์ The Last of the Mohicans ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535)
ที่มาภาพ : imdb.com
ในบท Bill “The Butcher” Cutting ใน Gangs of New York ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545) เขาใช้สำเนียงนั้นจากในหนังแม้ไม่ได้อยู่ในกองถ่ายก็ตาม และยังปฏิเสธที่จะไปร่วมทางข้าวกับ Leonardo DiCaprio หรือ Martin Scorsese เพียงเพราะเจ้าตัวไม่อยากหลุดจากตัวละครนี้ เวลาพักกองเขาก็ไม่ยอมใส่เสื้อคลุม โดยยืนกรานว่าจะใส่ชุดจากกองถ่าย ทำให้เขาเป็นโรคปอดบวมในช่วงหน้าหนาวขณะถ่ายทำ แต่ถึงกระนั้นเจ้าตัวยังปฏิเสธที่จะกินยาแผนปัจจุบันเพื่อรักษาด้วย ตามรายงานเจ้าตัวเกือบเสียชีวิตเลยทีเดียว
Daniel Day-Lewis ในบท Bill “The Butcher” Cutting
จากหนัง ภาพยนตร์ Gangs of New York ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545)
ที่มาภาพ : imdb.com
เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าตัวยังเล่นทริคที่ทำทุกคนในกองถ่ายขนลุก เพราะแทนที่เขาจะใช้คอนแทคเลนส์เหมือนที่นักแสดงคนอื่นใช้ เจ้าตัวกลับใช้ตาปลอมสำหรับบท Bill the Butcher นั่นมันไม่ใช่เพราะแค่ความสมจริงเท่านั้น แต่เจ้าตัวยังเรียนทักษะ(?) การใช้มีดทิ่มที่ตาปลอมของตัวเองโดยที่ไม่กระพริบตาอีกดวย (ฉากนี้มีในหนังด้วย) นับถือใจจริง ๆ
ฉาก Daniel Day-Lewis ใช้มีดทิ่มตาปลอมตัวเอง
จากหนัง ภาพยนตร์ Gangs of New York ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545)
หนังเรื่องสุดท้ายที่เจ้าตัวได้แสดงไว้ในหนัง ภาพยนตร์ Phantom Thread ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) เขาใช้เวลาเป็นปีเพื่อไปเป็นดึกฝึกงานของ Marc Happel หัวหน้าแผนกเครื่องแต่งกายของ New York Ballet และเขาได้เรียนรู้วิธีการทำชุด Balenciaga ตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว
Daniel Day-Lewis ในบท Reynolds Woodcock
จากหนัง ภาพยนตร์ Phantim Thread ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560)
ที่มาภาพ : imdb.com
Day-Lewis ยังใส่ความเป็น Method acting ไว้ในหนังอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการขังเดี่ยวตัวเองเป็นเวลา 3 วันโดยที่ไม่มีน้ำกินด้วย และให้ทีมงาน สาดน้ำเย็นใส่เขาด้วยถ้าเขาสลบไป เพื่อเตรียมมารับบทในหนัง ภาพยนตร์ In the Name of the Father ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536), เรียนชกมวยปีกว่าเพื่อมารับบทนักมวยในหนัง ภาพยนตร์ The Boxer ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540), ขออยู่ห่างจากภรรยาเป็นวัน ๆ เพื่อจะได้สัมผัสถึงความโดดเดี่ยวเพื่อเตรียมตัวมารับบทในหนัง ภาพยนตร์ The Ballad of Jack and Rose ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548), ให้ทุกคนในกองถ่ายเรียกว่า “ท่านประธานาธิบดี” (Mr. President) ในกองถ่าย Lincoln ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) แม้กระทั่งผู้กำกับอย่าง Steven Spielberg เองก็ต้องเรียกเขาแบบนั้น
และความเป็น Method acting ของ Day-Lewis ไม่รู้ว่าคุ้มกันไหม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ส่งให้เขากลายเป็นนักแสดงชายที่คว้ารางวัลออสการ์สาขาดารานำชายมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์
การแสดงแบบ Method Acting ไม่ใช่เพียงแค่การแสดง แต่มันคือการ อินกับบทบาท การเป็นตัวละครเหล่านั้นจริง ๆ ทั้งร่างกาย ความนึกคิดและจิตใจ ส่วนมันจะดีหรือจะถลำลึกแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับนักแสดงคนนั้น ๆ ว่าจะเลือกวิธีเตรียมตัวในการเข้าถึงตัวละครเหล่านั้นอย่างไร หลายครั้งหลายครามันก็ส่งผลอันน่าทึ่งทางด้านการแสดง และบางครั้งมันก็ส่งผลถึงคนรอบข้างรวมถึงชีวิตตนเอง
ดั่งที่ Jim Carrey เคยกล่าวเอาไว้ในสารคดี Jim & Andy : The Great Beyond ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560)
ผมคิดว่าบางที คนที่อยู่ในบทบาทของตัวละครทั้งกายและใจ อาจไม่รู้ว่าจะออกจากบทบาทนั้นยังไง หรือจะเลือกอีกเส้นทางนึงยังไง จึงอาจเลือกเดินเส้นทางสุดท้าย
ที่ซึ่งพวกเขาต้องจาก…โลกไปจริง ๆ เพื่อที่จะออกไป
ทั้งนี้ทั้งนั้นการเข้าถึงบทบาทแบบ Method Acting น่าจะเป็นเรื่องน่าชื่นชม รวมถึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการแสดง เพราะมันชี้ให้เห็นถึงความพยายามและความเข้าใจถึงตัวละครที่รับ มันจะดีก็ต่อเมื่อสามารถถอดตัวละครนั้นออกได้เมื่อผู้กำกับสั่งคัท
|
สบายสบายให้มันสมายเวลาสบายแล้วจะได้สบายสมาย... :) |